CategoriesLife NotesToday..what i learn

เมื่อนักทดสอบระบบฯถูกเร่ง… ผลลัพธ์อาจไม่ต่างจากข่าวนี้

ในฐานะคนทำงานสายทดสอบระบบ
เห็นข่าวนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนตลกร้ายเลย…

ตำรวจญี่ปุ่นวัย 40 ปี ปลอมผลตรวจดีเอ็นเอกว่า 130 คดี
เพราะกลัวถูกหัวหน้าด่าว่าทำงานช้า 😞

หลายครั้งที่เราต้อง “ทดสอบระบบ” ก็เพราะ
ระบบที่เราทำมันมี “โอกาสพังได้”
และเราทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่า
✅ ระบบทำงานถูกต้อง
✅ ของใหม่ไม่พังของเก่า
✅ ผู้ใช้ไม่ต้องมาเจอบั๊กแทนเรา

Dev คือคนสร้าง
QA คือคนตรวจให้แน่ใจว่า
ระบบจะทำงานตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ

แต่บางที… ในโลกความเป็นจริง
เทสเคสมันเยอะจนเวลาไม่พอ
หัวหน้าก็กดดันว่า “ทำไมยังเทสไม่เสร็จ”

อ่านข่าวนี้แล้วก็ได้แต่ภาวนา ขอให้หัวหน้าและทีมลีดทั้งหลาย
ลองอ่านข่าวนี้บ้างเถอะ
อย่าเร่ง QA มากนัก เดี๋ยวลูกน้องจะ “ปลอมผลเทส” แล้วงานจะพังยิ่งกว่าเดิม (เข้าใจกันดีกว่าน้า)

📝 หมายเหตุ:

  • หากนักทดสอบที่มีสกิล Coding จะสร้างระบบอัตโนมัติมาช่วยได้
    แต่ในหน่วยงานราชการ… ผมยังไม่แน่ใจว่ามี Automation มาช่วยแล้วหรือยัง
  • ภาวนาขอให้ผู้เสียหายจากผลตรวจที่ไม่ถูกต้องทุกคน ได้รับความยุติธรรมด้วยครับ

ที่มา : https://thethaiger.com/th/news/1453926

CategoriesToday..what i learn

บันทึกตอนที่ 1 : คลิปแรกกับการเรียนตัดต่อเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอนคอร์ส AI-Powered Full Stack Developer 🎬

หลังจากที่ประกาศออกไป ว่ากำลังขายคอร์สน้า หัวข้อ “AI-Powered Full Stack Developer”
อยู่ๆก็เริ่มมีความคิดเกี่ยวกับทักษะที่เรามี…ว่ามันดีพอหรือยังนะ
ถ้าคนที่ไม่รู้จักเราเขาจะรู้ได้ไงว่าเราสามารถแชร์เรื่องเหล่านั้นได้จริง
ไหนจะสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารออกไป คนฟังเขาจะถูกใจกับเทสต์ที่เรานำเสนอหรือเปล่า (ฮา)

คิดได้ดังนั้นเลยคิดว่า “เอ้อ งั้นเราลองทำวิดีโอ Sample ดูก่อนแล้วกัน”
ว่าแล้วก็ไปเรียนตัดต่อวิดีโอให้พอเข้าใจเครื่องมือเลย

และนี่ก็คือผลงานของวิดีโอตอนแรกที่เรียนจบไป (พึ่งตอนแรกเองนะ)
ว้าวอยู่เหมือนกัน กับเวลาแค่ไม่กี่นาที และได้ผลงานประมาณนี้

หวังว่าหากเรียนตัดต่อเสร็จ ก็น่าจะทำวิดีโอเรื่องเกี่ยวกับ “AI-Powered Full Stack Developer” นี่แหล่ะ
ลงไปใน Page แต่ละตอน ตอนละสั้นๆ ไม่นานเกินไป เอาให้พอมีเวลาทำตามได้ง่ายๆ ก็พอ

หมายเหตุ : ผมลงเรียนกับทางอาจารย์ เพจ “P-Sky” ราคาสามารถสอบถามทางหน้าเพจของอาจารย์ท่านได้เลยครับ

Categoriesหลักสูตรออนไลน์

ขายคอร์สจ้า AI-Powered Full Stack Developer จ้า

ช่วงที่ผ่านมา…

ได้มีโอกาสเจอกับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ประสบปัญหาจากการหางานด้าน QA บ้างก็ DEV

หลายคนทำงานที่เดิมมานานและอยากย้ายงาน บ้างก็อยากย้ายสายงานมาเป็น IT

แต่เพราะจากการอยู่ที่เดิมมานาน จึงไม่มั่นใจว่า ความรู้ที่พวกเขามีจะพอช่วยให้เขา

หางานใหม่ได้หรือไม่ ?!

——————————————

ตอนผมเรียน ป.ตรี ผมโชคดีมากที่มีรุ่นพี่ชื่อ “พี่โอ๊ต”

พี่เขาทำได้ทุกอย่าง — ตั้งแต่ Design → เขียนโค้ด → Deploy ทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว

พอได้เห็น “ภาพรวมจริง” ของสิ่งที่พี่โอ๊ตทำ…ผมถึงเริ่มเข้าใจคำว่า

“FullStack” ก็ตอนนั้น และเริ่ม ‘มองเห็นภาพของแต่ละเทคโนโลยีเชื่อมโยงกัน’

(เอาจริงยุคที่ผมเรียน ป.ตรีนั้น ยังไม่มีนิยามของคำว่า ‘Full stack’ ด้วยเลย)

——————————————

ตัดภาพมาที่วันนี้… โลกเข้าสู่ยุค AI + Cloud Computing ☁️🤖

ความรู้เก่าที่เคยใช้ได้ดี ตอนนี้มันกลับรู้สึก “ไม่พออีกแล้ว”

และช่วงนี้เองที่ผมเริ่มเห็นปัญหาของคนกลุ่มใหม่ หรือกลุ่มคนที่พยายามใช้ AI เขียนโค้ด — แต่สุดท้ายกลับไม่ประสบความสำเร็จ

เริ่มต้นทุกอย่าง ดูเหมือนง่าย ไม่ต้อง Code เองอะไรเอง แค่สั่ง ก็ได้ผลงานดั่งใจ…

พอทำไป แก้ Prompt สักหน่อย เริ่มงง……

พอสั่ง Prompt ใหม่ไปอีกทีรอบที่สาม กลายเป็นเราต้องเข้าไปอ่าน “เห้ย….น้อง AI นายเขียนอะไรลงไปหน่ะ”

(ตรงจุดนี้ยิ่งงงกว่า เพราะเราก็อ่าน Code ที่ AI เขียนมาไม่ออก ฮา)😅

ซึ่งเอาเข้าจริง มันเหมือนเรากำลังคุยกับผู้ช่วยที่เขาเก่งกว่าเรา เพียงแต่เรายังพูดภาษาเดียวกับเขาไม่รู้เรื่องเท่านั้นเอง

ไหนจะเริ่มถามกับตัวเองว่า…

“เราจะย้อน version กลับไปได้ยังไงนะ เพราะตอน Prompt 2 มันยังทำงานดีอยู่นี่นา?”

“เอ้อแล้ว เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันทำงานถูกต้องนะ?”

“จะสั่ง AI ยังไงให้มันเอา Data ไปเก็บในฐานข้อมูลดีนะ?”

ยิ่งเขียนไป AI ยิ่งดูสับสน

บางทีสั่งอย่างหนึ่ง แต่มันเข้าใจอีกอย่างนึง (หลอนเลยก็มี 🫣 ฮาอีก)

ถึงจุดนี้ ถึงได้เข้าใจว่า —

ก่อนจะใช้ AI ให้เก่ง

เราต้องเข้าใจ “พื้นฐาน” เรื่องที่เราจะทำให้แน่นก่อน

——————————————

ลองนึกภาพ ว่าเรากำลัง “ฝึกภาษาอังกฤษ”

หากเราพูดได้แค่ไม่กี่คำ เราก็ใช้คำเหล่านั้นได้แค่ไม่กี่สถานการณ์

แต่ถ้าเรามี “คลังคำศัพท์ในหัว” เยอะขึ้น

เราก็พูดได้คล่องขึ้น เข้าใจสถานการณ์ได้หลากหลายขึ้น

การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือนกันเลย 💡

ยิ่งเรามี “คลังคำศัพท์ของนักพัฒนา” เยอะมากขึ้นเท่าไหร่

AI ก็จะยิ่งกลายเป็นผู้ช่วยระดับ 10x Speed ของเราได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น

——————————————

ซึ่งจาก Pain Point ที่ผมเห็นมา ผ่านเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เข้ามาพบปะพบเจอตลอดในช่วงนี้

—ทั้งคนที่อยากย้ายสายแล้วไม่ผ่าน เพราะขาดความมั่นใจในการใช้เครื่องมือจริง

-ทั้งคนที่กำลัง(อยากเริ่ม)ใช้ AI เพื่อมาช่วย Code แต่แล้วหมด Token ไปไม่รู้เท่าไหร่ แถมยังได้ Code ในเวอร์ชั่นที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ

และทั้งหมดนี้… คือที่มาของคอร์สที่ผมตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้มาก ❤️

(เกริ่นมาซะยาว คือจะมาvาeคอร์สนั่นเอง ฮา)

——————————————

🎓 “AI-Powered Full Stack Developer : มาสร้างคลังคำศัพท์เพื่อคุม AI 10x Speed”

(14 หัวข้อหลัก × ครั้งละ 4 ชม. = 56 ชม.โดยประมาณ)

คอร์สพื้นฐานที่จะพาเห็นภาพรวมของกระบวนการพัฒนาระบบ + จับมือทำกับงานจริงแบบ End-to-End

เก็บพื้นฐานทั้งหมดไว้ในคอร์สเดียว พร้อมใช้ AI เสริมให้ “เข้าใจ + ใช้ได้จริง”

ไม่ใช่แค่สั่ง หรือเอา Prompt ให้เพื่อทำงานตามใครๆ แต่อยากให้เราเข้าใจการทำงานพื้นฐานก่อน

ก่อนจะเริ่มต้นใช้งาน AI จริง

🔧 สิ่งที่จะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน

🧠 Phase 1: Core Foundations

-เข้าใจ System Deployment Life Cycle , หน้าที่และตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง, เส้นทาง Full Stack Developer , Mindset ของการพัฒนาใน ยุค AI โดยเฉพาะ Technical Debt

-พื้นฐาน Git / GitHub / Workflow / Short Lived Branch vs Long Lived Branch เราควรใช้งานแบบไหนดี

-Cursor เครื่องมือสำหรับการเขียน Code ด้วย AI เพื่อเป็นผู้ช่วยเขียนและรีวิวโค้ด + AI อื่นที่เกียวข้อง

เช่น Claude / Claude Code / ChatGPT / MyGPT เครื่องมือช่วยสำหรับสร้าง Prompt

-Python 101

-Database 101

💡 ผลลัพธ์หลังจบ Phase 1: Core Foundations :

✅ เห็นภาพครบทั้ง “กระบวนการพัฒนาระบบ” ของสาย IT

✅ มีพื้นฐานการทำงานร่วมกับทีมด้วย Git / GitHub รวมถึงช่วยให้เข้าใจและเห็นถึงร่องรอยของโค้ดที่ AI สร้างมาในแต่ละ Prompt

✅ ใช้ AI Coding Assistant ได้อย่างมั่นใจ

✅ เขียน Script เบื้องต้นด้วย Python ได้

✅ เข้าใจ Database และโครงสร้างข้อมูลที่ใช้ในโลกจริง

⚙️ Phase 2: Backend & API Development

-สร้าง REST API ด้วย Django REST Framework

-การพัฒนา Mobile App ด้วย Google Flutter และการเชื่อมต่อกับ API จาก Django REST Framework

-การทดสอบระบบและการใช้ Tools สำหรับการทำ API Test (Postman)

-ออกแบบโครงสร้าง API + JWT Authentication

-นำทุกสิ่งที่เรียนไประหว่าง Phase 1 – Phase 2 มาทำงานร่วมกัน

💡 ผลลัพธ์หลังจบ Phase 2: Backend & API Development

✅ เข้าใจ CRUD และการทำงานของ REST API อย่างแท้จริง

✅ สร้างและเชื่อมต่อ Backend กับ Mobile App ได้

✅ ทดสอบระบบฯ ด้วย API อย่างถูกวิธีด้วย Postman เพื่อทำให้มั่นใจว่าระบบ (AI) ทำงานได้ถูกต้อง

✅ เข้าใจระบบ Authentication ด้วย JWT

✅ มองเห็นภาพการเชื่อมต่อระหว่าง Frontend, Backend และ Database ได้ครบวงจร ช่วยให้เข้าใจหลักการของ Full Stack ที่ใช้ได้กับทุกภาษาและ Framework

✅ เริ่มคิดและแก้ปัญหาแบบ Developer ที่เข้าใจ “แก่นของระบบ” มากกว่า “เครื่องมือที่ใช้”

☁️ Phase 3: Cloud & Automation

-Basic Docker

-Cloud Computing และการ Deploy Code ขึ้น Cloud (DigitalOcean)

-CI/CD Pipeline ด้วย GitHub Actions

-เชื่อมต่อกระบวนการทดสอบทุกครั้งที่ีมีการ Deploy Code

💡 ผลลัพธ์หลังจบ Phase 3: Cloud & Automation

✅ เข้าใจหลักการของ Containerization (Docker) และสามารถจำลองระบบจริงได้เอง

✅ สามารถ Deploy ระบบขึ้น Cloud ได้โดยอัติโนมัติ

✅ เข้าใจและใช้งาน CI/CD Pipeline ด้วย GitHub Actions ได้

✅ มองเห็นภาพรวมของ “Develop – Test – Launch” แบบมืออาชีพ

——————————————

👥 คอร์สนี้เหมาะกับใคร

💼 1. คนทำงานสาย IT ที่อยากอัปสกิลในยุค AI + Cloud

เหมาะกับคนที่อยากเข้าใจภาพรวมของระบบจริงแบบครบวงจร ตั้งแต่ Design → Code → Deploy เพื่อใช้ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Dev, QA, หรือ System Analyst

🎓 2. คนที่อยากเปลี่ยนสายงานเข้าสู่โลก IT อย่างมั่นใจ

สำหรับคนที่ทำงานในสายอื่นมาก่อน แล้วอยากย้ายมาสู่สาย Tech — คอร์สนี้จะช่วยปูพื้นให้เห็นภาพทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมจับมือทำจริง ไม่ทิ้งกลางทาง

👩‍🏫 3. ครูหรืออาจารย์ IT ที่อยากอัปเดตเนื้อหาให้ทันโลกจริง

เรียนรู้ Framework, Tools, และแนวทางการสอนแบบใหม่ ที่สะท้อนกระบวนการทำงานในยุค AI และ DevOps ได้จริง เพื่อถ่ายทอดให้กับนักเรียนได้เข้าใจภาพรวมแบบมืออาชีพ

👩‍💻 4. คนที่เริ่มใช้ AI Coding แล้วแต่ยัง “พูดภาษาเดียวกับ AI ไม่รู้เรื่อง”

ถ้าคุณเคยสั่ง AI ให้ช่วยเขียนโค้ด แล้วงงว่าทำไมมันไม่ออกแบบที่คิด — คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจโครงสร้างการทำงานจริง จนสามารถ “คุยกับ AI” ได้อย่างแม่นยำ

🚀 5. คนที่อยากเริ่มต้นสร้างโปรเจกต์ของตัวเองให้สำเร็จสักที

ไม่ต้องเก่งมาก่อน แค่มีใจอยากเริ่ม คอร์สนี้จะพาเดินทีละขั้นจาก 0 → Deploy ระบบจริงบน Cloud ได้ด้วยตัวเอง พร้อมเข้าใจทุกส่วนของระบบที่คุณสร้างขึ้น

——————————————

👩‍💻 แล้วผมเป็นใคร?

ขอบอกก่อนว่าผมอาจไม่ใช่ตัวจริงในสายงานนี้ เพราะปัจจุบัน ผมเป็นเพียงแค่นักทดสอบระบบธรรมดา

เพียงแต่ว่าผมโชคดีที่ได้เห็นทั้งฝั่ง Dev, Test, Deploy และระบบจริงที่รันอยู่ในบริษัทใหญ่

ทำให้เห็นทั้งหมดทำงานไปด้วยกัน (พร้อมทั้งเห็นปัญหาที่มีมาให้แก้ทุกวันเช่นเดียวกัน ฮา)

เลยอยากเอาความรู้เหล่านี้มาแชร์ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพจริง

โดยผมมีประสบการณ์เป็นอาจารย์พิเศษที่สอนวิชาการพัฒนาโปรแกรมเชิงบริการ มากกว่า 3 ปี

เป็นวิทยากรใน Udemy ที่มีผู้เรียนมากกว่า 1,200 คน

ได้รับ Certificate จาก Meta, Google, IBM และอื่นๆอีกหลายสถาบัน

🧩 รอบเปิดตัวพิเศษ

💸 ราคา Early Bird 4,900.- บาท ถึง 31 ตุลาคมนี้เท่านั้น (จากราคาปกติ 6,900.- บาท)

✋ แต่เดี๋ยวก่อน สำหรับคนที่แชร์ Post นี้แบบเปิด Public พร้อมส่งภาพมาในช่องแชท ลดทันที 1,000.- เหลือเพียง 3,900.- บาทเท่านั้น!!

🗓️ ลงทะเบียนได้ถึง 16 พฤศจิกายน 2025

📘 เรียนทุกวันอาทิตย์ เริ่มเรียนวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2025 เวลา 13.00-17.00 น. ผ่านทาง ZOOM – เรียนครบใน 14 สัปดาห์ (จบประมาณ มีนาคม 2026)

มีวิดีโอย้อนหลังให้ดูในทุกสัปดาห์ มีเพจ Facebook ที่ใช้สำหรับถามตอบในแต่ละสัปดาห์

พอลองคำนวณดูเล่น ๆ แล้ว… คอร์สนี้เรียนทั้งหมด 14 ครั้ง รวมกว่า 56 ชั่วโมง++ (เรียนจริงเกินกว่านี้แน่นอน)

ที่คุณจะได้ลงมือทำ ไปพร้อมกันกับผม… ตกเฉลี่ยเพียงวันละ 350 บาท แต่แลกกับการมี ‘ไกด์นำทาง’

ที่ช่วยประหยัดเวลาหลงทางและแก้ปัญหาที่ AI สร้างขึ้นให้คุณ

ผมว่ามันคุ้มมากจริง ๆ นะ ❤️

——————————————

ผมไม่การันตี ว่าคนที่ลงเรียนจะได้เงินเดือนหลักแสน

แต่ผมมั่นใจว่า…

ถ้าเรานั่งทำไปด้วยกันในคอร์สนี้

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คุณจะสร้าง App ตัวแรกตั้งแต่ต้นจนจบของตัวเองได้แน่นอน 🚀

หมายเหตุ:

หากคุณมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง —

ผมอยากแนะนำครูอาจารย์ดี ๆ มากมายที่ผมไปร่ำเรียนมาให้ทุกคนได้รู้จักกัน เช่น

Coursera, Udemy, Roadmap.sh, LinkedIn Learning,

Packtpub, Manning ,Thammasat Business School ,

ลุงวิศวกรสอนคำนวณ, Kongruksiam, อ.เอกรินทร์ (Coding Thailand), OlarnLab ,

เขียนโค้ดยามว่าง , skillane , skooldio , futureskill ฯลฯ

เพราะตัวผมเองก็ได้ความรู้และแรงบันดาลใจมาจากครูอาจารย์เหล่านี้เช่นเดียวกัน

แต่ถ้า…..คุณยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน

ขอให้ผมได้มีโอกาสพาคุณ ทำไปด้วยกันเถอะ (จับมือทำด้วยกันไปเลยนะนะ)

——————————————

💭 AI จะไม่มาแทนคนที่เข้าใจระบบ… แต่จะช่วยคนที่เข้าใจระบบ “ไปได้ไกลกว่าเดิม”

“คอร์สนี้คือการสร้างคลังคำศัพท์ของนักพัฒนา ที่แน่นพอ เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยระดับ 10x Speed ของคุณได้จริง”

——————————————

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วรู้สึกว่าคอร์สนี้อาจยังไม่เหมาะกับตอนนี้ของคุณ

แต่อย่างไรผมก็ยังอยากฝากโพสต์นี้ไว้ให้คุณพิจารณาสักหน่อยนะครับ

บางครั้ง “โพสต์หนึ่งโพสต์” อาจเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ช่วยให้ใครบางคน

เริ่มกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง

เราอาจนึกไม่ถึงว่า ถ้ามีใครสักคนที่กำลังลังเล ไม่มั่นใจในเส้นทางสาย Dev

+การเขียนโปรแกรม หรืออาจติดปัญหาเหมือนกับที่ผมได้แชร์ออกไป

ลองช่วยแชร์โพสต์นี้ออกไปทีนะครับ

เผื่อมันจะเป็นแรงเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาเหล่านั้นมั่นใจขึ้น

——————————————

🎯 พร้อมเริ่มต้นแล้ว?

📞 สามารถพูดคุย-สอบถามเพิ่มเติม

ได้ผ่านทางช่องแชทนี้หรือโทร 096-952-8749

🕰️ ช่วงเวลาที่สะดวกในการติดต่อ

จันทร์–ศุกร์: 12.00–13.00 น. และหลัง 18.00 น. เป็นต้นไป

เสาร์–อาทิตย์: สะดวกทุกเวลาเลยครับ

(ตอนนี้ผมยังเป็นพนักงานประจำอยู่ จึงอาจตอบช้าในช่วงกลางวันของวันทำงานบ้าง

แต่ถ้าติดต่อเข้ามาหลังเลิกงานหรือวันหยุด ยินดีตอบกลับและรับทุกสายเลยครับ ❤️)

ขอบคุณที่อ่านจนจบ 🙏

และหวังว่าจะได้เจอกันในคอร์สนี้นะครับ 🚀

#AIPoweredDeveloper#VibeCoding#CodingWithAI#BusyLearn

CategoriesLife NotesToday..what i learn

เรื่องเอ๊ะ…ระหว่างวัน

1.FOMO มั้ย ?
ทุกวันนี้ใช้ชีวิตเสพย์ Facebook ไปในแต่ละวัน ด้วยการอ่านเรื่องที่ตัวเองสนใจ
อยู่ไปอยู่มาชักจะอ่านไม่ไหว แต่ยังไงก็ขอแชร์ไว้ก่อนก็แล้วกัน
ตอนนี้เรื่องที่แชร์ มีอยู่เต็มหน้า Feed ในรูปแบบ “Only Me”
ถ้าย้อนไปอ่านจริงก็คงไม่ไหว
แต่แชร์ไว้แล้ว ไม่อ่านก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยได้แชร์…ก็ยังดี

2.ดีแล้วหรอ ??
คิดว่าส่วนตัวเป็นคนไม่สนใจเรื่องของใคร…
จนวันนี้ได้ไปนั่งกินข้าวในสถานที่คล้ายโรงอาหาร
ได้ยินคนนั่งตรงข้ามกำลังพูดถึงบุคคลที่ 3 ในทางที่ไม่ดี
คิดในใจว่า “ทำไมต้องว่าคนอื่นด้วย แล้วต้องถึงขนาดยกเอาคำพูดที่ดูสวยหรูขึ้นมาคุยกับคู่สนทนา
เพื่ออวดให้ตัวเองดีกว่าคนอื่นนี่นะ ฟังแล้วสงสารคนที่โดนกล่าวถึงในบทสนทนานั้นเลย”

จู่ๆก็เอ๊ะขึ้นมา “มึงไม่ชอบที่เขาไปว่า ไปตัดสินคนอื่น แล้วสิ่งที่มึงทำนี่หล่ะ ไม่ได้ตัดสินคนตรงข้างหน้าเขากันอยู่หรือไง
ตัวมึงดีแล้วหรอ นี่มึงก็กำลังคิดว่าเขาไม่ดีอยู่ในใจเหมือนกันนะ”

หลังตัวเอ๊ะทำงานเสร็จ ก็ทำให้เข้าใจว่า “ตัวมึงดีแล้วหรอ?” (ไปดีกว่า ไม่ใช่เรื่องของกู)

3.Short Live Branch – Long Live Branch
สมัยนึง นั่งเรียนเกี่ยวกับ Agile เข้าใจว่าของใหม่ ยังไงก็ต้องดีกว่าของเก่าเสมอ
แล้วสิ่งที่ Startup หรือทีมแบบ Agile มักทำ นั่นก็คือ Short Live Branch…
หลังมาทำงานจริง และเริ่มได้เห็นบริบทอื่นๆ ก็เริ่มทำให้เข้าใจ ว่าของที่เราเคยคิดว่าดี
ที่จริง มันอาจไม่ได้ Fit กับทุกบริบทก็เป็นได้

4.นอนก่อน อ้วนน้อย..?
วันก่อน กินขาหมู+ไก่ย่าง 5 ไม้ = น้ำหนัก 84
วันนี้ กินขาหมู+ไก่ย่าง 5 ไม้ = น้ำหนัก 84.5
กินเท่าเดิม แต่ทำไมน้ำหนักไม่เท่าเดิม?
บางที โลกอาจสอนว่า
เราควรไปนอนได้แล้ว ถ้าไม่นอน …เดี๋ยวน้ำหนักขึ้นนะ

สวัสดี

CategoriesTech Learning JourneyToday..what i learn

เมื่อผมนั่งเรียน Meta Back-End Developer

เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่ลาออกจากที่ทำงานบริษัทก่อนหน้า ก็มานั่งเรียน Coursera อย่างเดียว ไม่ทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือน

ความตั้งใจตอนนั้นคืออยากหางานตำแหน่ง Backend Developer เพราะคิดว่าเราน่าจะพอมีประสบการณ์มาบ้างและน่าจะทำงานได้

แต่แม้จะมีความมั่นใจว่าเราน่าจะทำอะไรนั่นนู่นนี่ได้ แต่การไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ + อายุที่มากขึ้น ก็เป็นอะไรที่น่ากังวลใจกับการหางานในตอนนั้นเลยทีเดียว

ยิ่งตอนนั้น ถึงขนาดลองลิสต์คำถามที่อาจจะต้องเจอออกมา หลายอย่างเราเองในตอนนั้นยังตอบไม่ได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น

-อธิบายสถาปัตยกรรมของระบบ Backend ที่คุณเคยทำงานด้วย เช่น Microservices, Monolithic, หรือ Event-driven

-เวลาสร้าง API คุณจะออกแบบให้รองรับ scalability และ security อย่างไร

-Authentication, Authorization, Rate limiting เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

-คุณใช้ฐานข้อมูลประเภทไหนบ้าง และเลือกใช้อย่างไรระหว่าง SQL vs NoSQL

ฯลฯ

เลยเป็นที่มาให้ลงคอร์สเรียนหลักสูตรของทาง Coursera ที่มีหัวข้อดังนี้

-Meta Back-End Developer

-IBM DevOps and Software Engineering

(อันที่จริงก็มีหัวข้ออื่นจาก Platform อื่น ๆ อีกเยอะเต็มไปหมดเลย)

จนสุดท้ายเลยมาได้งานเป็น QA กับที่ทำงานปัจจุบัน ตลกดีที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็น Backend Developer ตามที่คาดหวังไว้ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเป็น QA อยู่กับทีมที่เป็น Backend ตามที่เรียนมาอยู่ดี โดยเฉพาะความรู้จากคอร์สช่วยให้ผมเข้าใจทีม Backend และสามารถทำงาน QA ได้ลึกขึ้น

ลืมบอกไปว่าปีที่แล้ว ระหว่างเรียนเพื่อไปหางาน ที่เรียนไว้ก็เรียนไม่จบ และได้หยุดเรียนไปเกือบปี เนื่องจากได้งานแล้ว + ต้องปรับตัวกับที่ทำงาน เลยไม่มีโอกาสกลับมาเรียนต่ออีกเลย

จนได้เข้ามาอีกครั้ง เพราะมาอัปเดตความรู้ จึงได้เห็นว่าเราเรียนค้างไว้ยังไม่จบ เลยกัดฟันเรียนต่อให้มันจบไป

ถามว่าทำไมจึงเรียนไม่จบ ก็คิดว่าน่าจะเป็นความยากของหลักสูตรนี้ ที่ระหว่างเรียนแต่ละหัวข้อจะมี Project เล็ก ๆ ให้ทำ (เล็กแน่นะวิ!!)

ทำแล้วต้องมีการส่งขึ้น Github และแชร์ลิ้งค์ส่งไปให้ตรวจ

หลายครั้งที่ตรวจไม่ผ่าน เสียเวลาท้อไปเลยก็มี

และอาจจะด้วยเพราะปีที่แล้ว เรายังใช้ AI Coding ไม่เป็นเลยทำให้ท้อใจไป ก็เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุ และความไม่รู้ว่าเราจะเรียนไปแล้วจะได้ใช้มั้ยก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญเช่นกัน

แต่วันนี้เมื่อมาทำงานจริงก็พบว่าหลาย ๆ ความรู้ก็เจออยู่ในที่ทำงานเกือบหมดเลย

ขยายความต่ออีกนิดว่าความรู้สึกที่เมื่อเราเรียนไป และเราไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร มันเป็นความรู้สึกกลวงมากจริง ๆ นะ

-เขาจะใช้ภาษาอะไรนะ

-ภาษานี้มันมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้างนะ

-เราต้องเก่งเรื่องนั้นถึงขนาดไหนนะ เขาถึงจะรับเราเข้าทำงาน

นา ๆ จิตตัง พาจิตตกกันเลย

แต่ความโชคดีของเราอีกอย่างคือได้เอาความรู้นั้นไปแชร์ต่อให้กับน้อง ๆ ในมหาวิทยาลัย + กับได้เห็นว่าที่ทำงานเก่าเราเลือกใช้ Tech Stack อะไร เลยทำให้มั่นใจว่าเราเดินมาไม่ผิดทางแน่นอน

สุดท้าย เขียนมาตั้งยาว คืออยากอวดว่าเรียนจบแล้ว เรียนมาเป็นปีเลยทีเดียว อยากบอกว่าเรียนกันเถิด ยิ่งในยุคที่ AI ครองโลกแบบนี้ แม้จะไม่การันตีว่าเรียนแล้วคุณจะทำได้อย่างที่เรียนมั้ย แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งเลย คือคุณเป็นคนขยันหาความรู้แน่นอน

แม้คุณอาจไม่ได้งานตรงสายที่เรียนมา แต่ความรู้ที่ได้จะวนกลับมาช่วยคุณแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

(อย่าลืมหาทางเอาความรู้ที่เรียนมาไปใช้ด้วยนะ)

https://coursera.org/share/6f6c5ae56c440eed4d8aa9597c27da17

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

เมื่อผมนั่งเรียนเรื่องเขียน Code ด้วย AI และ Vibe Coding ตอนที่ 2

ปกติก็ใช้ AI Tools สำหรับการทำงานอยู่แล้ว แต่มีเหตุให้ต้องไปถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ Ai Coding หรือ Vibe Coding การเทคคอร์สให้มั่นใจนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

หัวข้อที่เรียนคือเรื่องการใช้งาน Tools อย่าง Cursor โดยเริ่มตั้งแต่
-เริ่มต้นรู้จัก Cursor AI
-ใช้ Cursor เป็น AI-first code editor
-รู้จักการทำงานร่วมกับ workflow
-การพัฒนา -AI-powered Development
-Chat panel → คุยกับ AI
-Agent Mode / Ask Mode → เลือกตามงานที่ทำ Switch LLMs
-ปรับโมเดลให้เหมาะกับการใช้งาน
-Debugging & Iteration
-การใช้ Cursor ตรวจจับและแก้ bug แบบ real-time
-ใช้ New Chat เพื่อรักษา context และลดอาการหลอน (hallucination)
-ใช้ Context tools เช่น Add Docs, Add Web, Files/Folders
-ตั้งค่า Cursor Rules เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI
-เรียนรู้ MCP (Model Context Protocol) เชื่อมต่อกับระบบภายนอก

หลังเรียนจบแล้วก็คิดได้ว่า คิดถูกแล้วที่มาลงเรียน ไม่งั้นได้ปล่อยไก่ เอาไปนำเสนอแบบผิดๆแน่นอน

ว่าแต่ MCP นี่มันว้าวมากเลยนะ ผู้สอนพาใช้เว็บอย่าง smithery.ai แพลตฟอร์มจัดการ “MCP servers” สำหรับ AI agents (อารมณ์ประมาณ pypi.org ของ python แต่นี้เป็นตัวเสริมของพวก AI)
ที่พอไปเชื่อมปุ๊ป AI ที่ทรงพลังมากแล้ว มันยิ่งทรงพลังเพิ่มไปอีก เช่น เชื่อมต่อ github , ใช้ Cursor เชื่อมต่อกับ Web โดยใช้ Playwright Automation (เครื่องมือทดสอบ web แบบอัตโนมัติ)

สรุป
ก่อนเรียน → แค่ใช้ Cursor เขียนโค้ดได้ ใช้ ctrl + l , ctrl + k เป็น
หลังเรียน → รู้แล้วว่าจะควบคุม behavior ของ AI ด้วย Cursor Rules และต่อยอดกับ MCP ยังไง

Key takeaway MCP (Model Context Protocol)

ปล.คอร์สดองใน Coursera ยังเรียนไม่ครบเลย ไปเรียนคอร์สใหม่อีกแล้ว โลกหมุนไวจริงๆ

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

เมื่อผมนั่งเรียนเรื่องเขียน Code ด้วย AI และ Vibe Coding

มีโจทย์ให้ต้องนำเรื่องการเขียน Code ด้วย AI และ Vibe Coding ไปแชร์ความรู้

หลังได้รับโจทย์มา สิ่งแรกที่คิดได้คือ Technical Debt ก่อนเลย เพราะขนาดเราทำแอพฯด้วย AI เอง ยังต้องแก้ตั้งหลายรอบ แล้วหากเราไปแชร์ให้คนที่คิดเอา AI Coding เหล่านี้ไปทำธุรกิจจริงหล่ะ เขาจะไม่เสียค่า Cost ไปกับการแก้ไขหรอ สุดท้ายก็ได้นำสิ่งเหล่านี้ไปแชร์ก่อนรอบที่หนึ่ง

หลังผ่านการแชร์ไปหนึ่งรอบ พูดเรื่องเทคนิคแบบ E2E , Technical Debt ว่ามีอะไรบ้าง และกว่าเราจะได้แอพมาหนึ่งตัวเราต้องรู้เรื่องอะไรบ้างเท่าที่ความรู้ผมนั้นมี

อาทิตย์ถัดไปก็คือเอาเรื่อง AI Vibe Coding ไปเสนอนี่แหล่ะ ว่ามันทำงานอย่างไร

ส่วนตัวเราที่ทำงานกับ AI ได้ แต่ยังรู้สึกว่าเราขาดความรู้อยู่เลย เลยเป็นที่มาให้ได้มาเทคคอร์สสั้นไป 2 บทเรียน

หลังจบได้เทคนิคประยุกต์ AI Coding ได้ในระดับหนึ่ง เหลือเรื่องการทำให้ App คุยได้ดีระหว่าง Frontend , API , Backend – DB.

หลังจบคอร์สนี้หากผู้เรียน Happy คงเปิดคอร์สเรียนแบบนี้ขึ้นมาจริงจังแน่นอน

ตอนนี้ขอไปเรียนต่อก่อน

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

🚀 Day 1 กับ Kiro – จากโค้ดในอีเมล สู่ Requirement, Design และ Task พร้อมเทสต์กระจาย

วันนี้เพิ่งได้ลอง Kiro – Ide Tools เพราะพึ่งได้ code การใช้งานที่ส่งมาใน Email

(ทำให้นึกถึงสมัยเรียน ป.ตรีเลย ที่ต้องได้ invite ก่อนใช้ Gmail…

ยุคนั้นใครมี Gmail ขนาด 1 GB นี่โก้จริง ๆ )

ก่อนหน้านี้เคยอ่านผ่าน ๆ ว่า Kiro เก่งเรื่อง context – spec driven และช่วยเราสั่งงานแบบมีระบบ

แต่ถึงจะอ่านมาแล้ว ถ้าไม่ได้ลองทำจริงก็ยังคิดไม่ออก ว่าน้องจะทำงานยังไง

จนวันนี้ได้ลองจริง ถึงได้รู้ว่าน้อง Kiro มันเก่งจริงๆ

ในภาพก่อนมาหน้านี้ ผมให้ Kiro ออกแบบฟีเจอร์ขึ้นมาฟีเจอร์หนึ่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…น้องจัดการทุกขั้นตอนให้ครบลูปเลย ตั้งแต่ Requirement → Design → Task Breakdown

โดยทำตั้งแต่

1.Requirement (requirement.md)

น้องสกัดสิ่งที่ผมเล่า ออกมาเป็น requirement file

ระหว่างทำก็มีถามซ้ำ เพื่อยืนยันว่าตรงกับที่ผมอยากได้จริง ๆ

ส่วนตัวผมชอบตรงนี้ดีนะ เพราะกันความ “คิดไปเอง” ของ AI ได้ระดับนึง

คือให้เชื่อสิ่งที่เราออกแบบจริง Requirement นี้จริงๆเท่านั้นนะ

2.Design (design.md)

ออกแบบในมุม Dev เหมือนส่งให้ทีมอ่านต่อได้ทันที

เท่าที่อ่านในไฟล์ น้องออกแบบมีโครงชัด ฟังก์ชันชัด พออ่านเสร็จแล้วแอบขนพองสยองแทน SA , BA จริงๆ เพราะน้องเขียนละเอียด เก็บทุกส่วนเป๊ะเว่อร์ หากเราจัดทำเอกสาร เอาสิ่งที่น้อง Kiro เขียน ก็ไปทำงานแทนได้เลย

3.Task Breakdown (task.md)

น้องแตกงานออกมาเป็นข้อ ๆ รอให้ผมเป็นผู้กดเริ่ม (Start Task)

เหมือนมี PM ย่อม ๆ มาช่วย list สิ่งที่ต้องทำก่อนเริ่มโค้ด

เมื่อผมกด Start Task น้องก็ทำหน้าที่เป็น Dev ให้ด้วย

จากใน Task จะเห็นว่ามีเขียน Unit Test แถมมาให้ด้วย อ่านแล้วประทับใจดี

คิดว่าหากจุดนี้ผมเขียน Widget Test , Integration Test , Golden Test

สำหรับ Flutter ไว้ด้วย น้องน่าจะทำงานได้

ปิดท้าย Day 1

เขียนมาถึงตรงนี้ คืออยากจะบอกว่างานฟีเจอร์ที่สั่งยัง Run ไม่จบ เพราะน้องมัน Unit Test กระจาย ถ้าไม่ผ่าน มันก็ไม่หยุด

และจากความรู้สึก ผมคิดว่าน้อง Kiro ตัวนี้มันน่ากลัวจริง การควบคุมสิ่งที่ทำด้วย context – spec driven มันทำให้ดู “ระบบเป็นระบบ” อย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ

ขอไปลอง Widget Test , Integration Test , Golden Test สำหรับ Flutter กับน้องเพิ่มอีกหน่อย

หากน้องมันยังเก่งทำงานได้ดีอีก ผมสัญญาจะตั้งใจทำงานไม่มีปาก มีเสียง ขยันทำงานเก็บเงินเลย

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

เมื่อผมลอง Vibe Coding ทำโปรเจคระบบลงทะเบียนสถานปฏิบัติธรรมของบ้านแม่ผม

นั่งทำแอพฯระบบลงทะเบียนสถานปฏิบัติธรรมบ้านเพชรบำเพ็ญ (บ้านแม่ผมเอง) ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 80-90% แล้ว

ที่เริ่มต้นทำ เพราะจากปัญหาที่เคยเห็นมาหลายๆที่คือ…

-ผู้มาปฏิบัติธรรมต้องเขียนฟอร์มใหม่ทุกครั้ง แม้จะมาเป็นประจำ
-บางท่านต้องฝากบัตรประชาชนไว้ แล้วก็มีลืมรับคืนบ้าง หรือกังวลว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้อะไรหรือเปล่า
-ลายมืออ่านยากทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมานั่งเดาอีกว่า “นี่เขียนว่าอะไรนะ”
-และที่สำคัญ…ถ้าถามว่า “สัปดาห์นี้มีคนมากี่คน” ไม่มีตัวเลขชัด ๆ ที่ตอบได้

ผมเลยคิดว่า…”เรานี่ก็น่าจะพอทำ ระบบลงทะเบียนให้สะดวกและปลอดภัยขึ้นได้นะ”
และเพราะผมคลุกคลีกับระบบเดิมมานาน เลยมั่นใจว่าพอจะออกแบบอะไรให้ตอบโจทย์วัดได้แหล่ะ (เป็นเด็กวัด โตมากับวัดเลย)

Tech Stack ที่ใช้ก็จะประมาณนี้
-Flutter รับผิดชอบ UI ต่างๆของหน้าแอพฯ
-SQFLite รับผิดชอบเก็บข้อมูลในฐานข้อมูล หากข้อมูลนั้น Sensitive ก็ให้ระบบนั้น Mark Sensitive Data ไว้
-ChatGPT + Cursor + Claude Code รับผิดชอบเรื่อง QA , Junior Dev , Senior Dev แตกต่างกันไป

ตอนแรกก็อยากจะเล่าว่า “เอ้อ นี่เรานั่งทำแอพฯมานะ ได้แอพนั่นนี่มา” อารมณ์แบบอวดๆหน่อยว่าข้าทำแอพฯได้
แต่ก็ไม่ดีกว่า เพราะว่ามาคิดๆดู เราก็ไม่ใช่คนทำหลัก ที่หลักก็น่าจะเป็น AI เองซะมากกว่า
เลยขอเปลี่ยนเป็นมาเล่าเรื่องการทำงานกับ AI แทน ว่ามันเป็นยังไง

ตอนแรกก็กลัวมากกว่า AI จะมาแย่งงานโปรแกรมเมอร์ + QA หรืองานต่างๆที่เราเคยทำได้
หรือกลัวอีกแบบก็คือ ใครๆก็เขียนโปรแกรมได้นะ ต่อไปได้ตกงานแน่ๆ
แต่พอได้ใช้ AI จริง ๆ ผมกลับมองอีกแบบ

เพราะถ้าเรา พื้นฐานไม่แน่นหรือภาพรวมไม่ชัด ก็เสี่ยงที่จะทำโปรเจควนไปแบบไม่จบ
แม้ AI จะช่วยให้เราเร็วขึ้นก็จริง แต่ถ้าเราไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง ก็จบเห่ได้เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น
-เวลาผมสั่งให้เพิ่มโค้ดทีละจุด มันก็จะใส่ทุกอย่างลงในหน้าเดียวก่อน เน้นให้ทำงานได้
(Model , View , Controller มาครบ จบในหน้า Screen)
แต่ไม่คิดเรื่อง Reuse เลย จนผมต้องมานั่งบอกว่า “แบบนี้ใช้ซ้ำไม่ได้ ต้องแยก Refactor นะ”
หลังจากโดนดุหลายรอบ น้องก็เริ่มเข้าใจขึ้น

-ปล่อยให้น้อง AI จัดการไฟล์เอง โครงสร้างการเก็บไฟล์เป็นอย่างไร น้องไม่สนใจ น้องจะเก็บแบบตามใจ
สุดท้ายไฟล์อยู่คนละมุม! ทำให้ตอนโปรเจคใหญ่ขึ้น จุดนี้เริ่มทำให้เราเสีย Token ไปกับการค้นหาไฟล์โดยเปล่าประโยชน์(แรกๆก็ไม่อ่านสิ่งที่น้องทำนะ ให้น้องทำ Auto เลย หลังๆเริ่มเสียเวลาไปกับการแก้ไฟล์เอง ถึงได้รู้ว่าน้องนี่หนา!!)

-หลายครั้งน้อง AI พยายามย่อสิ่งที่เคยทำมาให้สั้นลงเพื่อเข้าใจง่าย (compact) แต่พอย่อแล้ว…ทำงานช้าลง แถมลืมความรู้เดิมอีก
เหมือนพยายามจะสรุป Lecture ให้เรา แต่ดันลืมบอกประเด็นสำคัญ สุดท้ายอ๊องๆไปเลยก็มี

-ยังไม่นับรวมกับการพยายามสร้าง Class ใหม่เพิ่มเสมอ Screen เก่ามีผมก็ไม่สน ผมเน้นทำใหม่ดีกว่า

จากจุดนี้เริ่มทำให้รู้สึกว่า
-การวางแผน Prompt ในปัจจุบันสำคัญพอ ๆ กับการเขียนโค้ด
-ต้องเข้าใจพฤติกรรม AI เพื่อรู้ว่าจะให้มันทำอะไรต่อ
-ใช้น้อง ก็ควรอำนวยความสะดวกให้น้อง เช่น บอกน้องไปเลยว่าทำงานที่ไฟล์ไหน
-น้องชอบ Compact บ่อย ให้วางเช็คพอยต์ของงาน เช่น ไฟล์ md สรุปโครงสร้างและความคืบหน้าไว้เสมอ
เมื่อน้องเอ๋อ ให้น้องไปอ่านไฟล์นั้นๆ ใหม่ในครั้งถัดไป

หากไม่ได้เริ่มทำ(prompt กับ AI) จริง คงคิดไม่ออกจริงๆนะว่า AI นั้นทำงานอย่างไร

แล้วก็มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบ จากหนังสือ “ไอน์สไตน์” (walter isaacson)
ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้กล่าวไว้ว่า “God doesn’t play dice with the universe”
แต่หลังผมลองเล่น AI เสร็จ ก็ได้คำตอบละว่า “พระเจ้าทอยลูกเต๋าแน่นอน !!!”

**จากในภาพเป็นเวอร์ชั่นใส่ Requirement เผื่อไว้เยอะไปหน่อยนะ มีจองห้องพักได้ด้วย

อนาคตหากมีสถานปฏิบัติธรรมไหน มี logic การลงทะเบียนคล้ายๆกัน น่าจะนำไปต่อยอดได้

CategoriesToday..what i learn

ไปเรียนเขียน POS กับลุงวิศวกร สอนคำนวณ แล้วผมก็ได้มากกว่าการเขียนโปรแกรม

มีโอกาสได้ไปเรียนเรื่อง “Flutter for POS by Uncle Engineer”

กับลุงวิศวกร สอนคำนวณ เพียงเพราะมีความสงสัยในหัว “ว่าแอพมือถือมันคุยกับ Hardware ได้อย่างไรนะ?”

ตอนไปก็ไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะได้ความรู้จากลุงเต็มๆแน่นอน เพราะความรู้ที่มีตอนนี้ ก็มาจากลุงหลายๆเรื่องเลย ฮ่าๆๆๆ

หัวข้อที่เรียน ลุงแบ่งไว้เป็น 2 วัน ดังนี้

วันที่ 1 เป็นการสอนเกี่ยวกับ Widget ทั้งหมดของ Flutter Framework ว่าแต่ละตัวมันทำงานได้อย่างไร โดยพาทัวร์และไปจบด้วยการแยกส่วนประกอบให้เราเข้าใจการทำงานของ Flutter แล้วออกแบบโครงสร้างของหน้าแอพฯมือถือ

วันที่ 2 ลุงก็พา Vibe Coding กับการทำงานเขียน Code ผ่าน AI (เพราะว่าแต่ละคนน่าจะมีพื้นฐานจากเมื่อวานมาแล้ว) พร้อมทั้งให้คนที่มาเรียน ลองคิดว่าจะทำระบบอะไร ให้ลองเสนอมา แล้วลุงจะพาทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ?!!! (จะมีวิทยากรที่ไหนใจกล้า ให้ผู้เรียนคิดหัวข้อให้แบบนี้บ้างเนี่ยะ)

พี่ที่เรียนด้วยกัน เลือกเอาระบบ รปภ ตรวจเช็คคนเข้าออกที่หมู่บ้าน ว่าใครเข้ามารถทะเบียนอะไร จะไปที่บ้านไหน

ลุงพอรับโจทย์มา ก็ค่อยๆร่าง ค่อยๆสร้างระบบฯ ขึ้นมาโดย Vibe Coding ทีละส่วนแล้วเอามาประกอบกัน

จากที่รับแค่ทะเบียนรถ กับบ้านที่จะไป

กลายมาเป็น UI โหดๆตามภาพ 5555+

ทุกหน้าจอทำงานได้ ปริ้นสลิปออกมาได้ มี Dashboard สวยงาม

หากเอาไปต่อยอดกับ Backend เขียนให้ Secure หน่อย สามารถพัฒนาทำเป็นงาน Production ได้เลย

———————————

ตัดมาที่นรภัทร หลังได้รู้ถึงแนวการเขียน Vibe Coding ว่าทำอย่างไร โดยดูวิธีที่ลุง Prompt กับ Claude ว่าทำงานร่วมกันยังไง ก็เริ่มทำระบบลงทะเบียนผู้ปฏิบัติธรรมของตัวเองบ้าง

แม้แอพฯ อาจไม่ดู Full UI แบบที่ลุงทำให้ดู (เพราะผมใช้ ChatGPT ส่วนลุงใช้ Claude) แต่ผมว่ามันก็พอได้นะ 5555+

———————————

ตัดจบด้วยความรู้สึกที่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนเรายังภูมิใจกับมันมากๆอยู่เลย ที่เราทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง

เดี๋ยวนี้ความภูมิใจมันไม่เท่าตอนนั้น แต่อย่างไรก็ดี มันก็ยังทำงานได้ดีของมันอยู่นะ อย่าไปยึดติดเลยดีกว่า เรียนให้เป็นเรื่องสนุกไป

มองไม่ออกอยู่ดี อนาคตจะเป็นยังไงกันแน่นะ

แต่ช่างมันเถอะ หากสุดท้ายแล้วเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำไป เราจะทำให้ใครก็พอ

ส่วนทุกวันนี้ก็ขายของต่อไป ว่าเราทำอะไรได้บ้าง เผื่อจะมีคนมาเห็น แล้วมาจ้างให้ไปทำอะไรต่ออะไร 555

———————————-

ขอขอบคุณ ลุงวิศวกร สอนคำนวณ มากๆ ที่ได้แสดงความสามารถของคนที่เทพมากๆ ใช้เวลาที่มีจำกัด พัฒนาอะไรเทพๆอออกมาโดยที่ไม่มี Script บทนำล่วงหน้า แถมยังแก้ปัญหาได้เทพมากๆ แทบจะรู้จุดทุก Error ที่เจอเลย สุดยอดมากๆครับ

ใครอยากเรียนเขียนโปรแกรม , Electronics , งานไม้ และอีกหลายๆอย่าง ไปเรียนกับลุงได้ โดยค้นหาด้วยคำว่า “ลุงวิศวกร สอนคำนวณ” ได้เลยครับ

ปล. หลังจบคอร์สนี้ได้เครื่อง POS มือถือกลับมาอีก คุ้มกับค่าเรียนไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว