หลายครั้งผมถามตัวเองว่า “เราชอบทำอะไรจริงๆ กันแน่?” แต่คำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบที่ชัดเจนให้ผมเลย แม้จะลองทำมาหลายอย่าง แต่ทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่ ผมก็ต้องจบลงด้วยความรู้สึกเดิมๆ
เส้นทางที่เต็มไปด้วยการลองผิดลองถูก
ผมเป็นคนที่ลองทำมาหลายอย่างจนตัวเองยังงงว่า “เราไปทำอะไรมาเยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง?”
เคยขับรถส่งอาหาร 🍔 คิดว่างานง่าย รายได้ดี แต่ทำไปไม่นานเมื่อถูกปรับลดราคาค่าส่งลง ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ทำไปไม่คุ้ม
ลงเรียนตัดผม 💇 หวังว่าจะเปิดร้านของตัวเอง แต่สุดท้ายความสนใจก็จางหาย ทิ้งไว้แต่เพียงอุปกรณ์ตัดผม 🤣
จ่ายเงินหลักหมื่นลงเรียน Forex กับอาจารย์ดัง💰 คิดว่าเราจะเก่งและทำกำไรได้ แต่สุดท้ายหมดเงินไปเป็นหลักแสน😅
ลงเรียนการตลาดออนไลน์ 📊 กับผู้สอนดังๆ เพราะคิดว่าจะสร้างธุรกิจส่วนตัวได้ แต่ก็ไม่เคยได้ทำจริงจัง เพราะไม่รู้เราจะหาสินค้าอะไรไปขายดี
ลงเรียนเรื่องการขาย 🤑 เพราะหวังจะพรีเซ็นต์และนำเสนอในสิ่งที่ดีให้ลูกค้า แต่เรียนไปเรียนมา มันเหมือนจิตวิทยาที่พูดชักจูงให้คนคล้อยตาม พูดนำอย่างไรให้คนไม่ปฏิเสธ ทั้งเรื่องที่ทำให้กลัวเสียโอกาส ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ คุณจะไม่ได้ราคานี้ ฯลฯ
เคยอยากเป็น Content Creator 🎥 คิดจ้างรุ่นน้องมาช่วยทำช่อง ถามราคารุ่นน้องไป ว่าตัดต่อแบบมืออาชีพช่องดัง ต้องเสียเงินตอนละเท่าไหร่ รุ่นน้องตอบกลับมาว่า “ดีที่สุดคือพี่ทำแชร์สิ่งที่ตัวเองชอบเองไปเรื่อยๆ แบบนั้นจะดีกว่ามาจ้าง” พอถึงตรงนี้ ก็วกกลับมาที่คำถามเดิม ว่าตอนนี้เราชอบอะไรนะ?!😅
ลงเรียนวิธีนำเข้าสินค้าจากจีน 📦 ฝันว่าจะหาสินค้าที่เป็นกระแสนำเข้ามาขายในไทย แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นอะไร เพราะไม่รู้จะขายอะไรดี?!
ที่ทำมาทั้งหมดนี้ จุดร่วมจุดหนึ่งคือ…ผมหวังแต่เรื่อง “เงิน” เป็นหลัก
แล้วทำไมมันไม่สำเร็จสักอย่าง?
สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มสังเกตได้จากการย้อนมองตัวเอง คือ ทุกครั้งที่ผมเริ่มต้นใหม่ ผมไม่ได้เริ่มจากสิ่งที่ผมรัก แต่ผมเริ่มจากมอง “เงิน” เป็นอันดับแรก
ผมคิดว่า “สิ่งนี้ต้องทำเงินให้เราได้แน่นอน”
แต่ปัญหาคือ เงินอาจสำคัญ แต่ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เรารัก มันก็เลยไม่พาเราไปไหนไกล
ตกผลึก: เงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราต้องการ
วันหนึ่งผมถามตัวเองว่า “ถ้าเงินไม่ใช่สิ่งที่เรารัก แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ?”
คำตอบมันชัดเจนขึ้นเมื่อผมมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ผมรู้สึก “ดีใจ” หรือ “ภูมิใจ” มากที่สุดในชีวิต
นั่นคือช่วงเวลาที่ผม…
ช่วยคนอื่นแก้ปัญหา: ตอนที่มีคนขอบคุณเรา เพราะคำแนะนำของเราทำให้เขาแก้ปัญหาได้ ทีนี้เลยใจฟูเลย ฟูแบบที่เงินก็ซื้อไม่ได้ (Giver)
สอนคอร์สเสร็จให้กับนักเรียน: ได้เห็นพวกเขาเข้าใจและเอาสิ่งที่เราสอนใช้ได้จริง สร้างแอพฯมือถือขึ้นมาจริงๆ ความฟูนั้นติดตัวไปเป็นอาทิตย์! แล้วยิ่งมารู้ว่านักเรียนเหล่านั้น ได้งานดีๆ ได้เงินดีๆ ความฟูทีนี้มันติดตัวไปยาวๆเลย (Giver)
แชร์ประสบการณ์: เล่าเรื่องที่เราเคยเจอ แล้วคนฟังบอกว่า “เฮ้ย ขอบคุณมาก ช่วยผมได้มากจริงๆ” (Giver)
จนจุดนึงผมเริ่มตกผลึกว่า คุณค่าที่เราส่งมอบให้คนอื่น มันสามารถสร้างความสุขและความหมายให้ตัวเราได้มากกว่าเงิน
คุณค่า: สิ่งที่สร้างความหมายให้ชีวิตเรา
จากจุดนั้น ผมเริ่มเปลี่ยนคำถามในใจ จาก “สิ่งนี้ทำเงินได้ไหม?” เป็น “สิ่งนี้ช่วยคนอื่นได้ไหม?”
ผมพบว่าการได้ส่งมอบคุณค่าให้คนอื่น ทำให้ชีวิตของผมมีความหมายมากขึ้น เช่น:
การแชร์ความรู้ของเราให้ใครบางคนในสิ่งที่เขาไม่รู้
การช่วยแนะนำวิธีแก้ปัญหาเล็กๆ ให้เพื่อนร่วมงาน
การแชร์ประสบการณ์ที่เราผ่านมา เพื่อให้คนอื่นไม่ต้องเจอปัญหาแบบเรา
มันไม่ใช่แค่ “ใจฟู” ชั่วคราว แต่เป็นความสุขที่ค่อยๆ สะสม จนเรารู้สึกว่า ชีวิตนี้ช่างมีคุณค่าจริงๆ
จากการมองหาเงิน สู่การมองหาคุณค่า
เมื่อผมเริ่มเปลี่ยนมุมมอง ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป:
ผมไม่ต้องกดดันตัวเองให้หา “สิ่งที่ใช่” ในทันที
ผมไม่ต้องวิ่งตามสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง เพียงเพราะมันทำเงินได้มาก
ผมเริ่มมองหาสิ่งที่เราสามารถส่งมอบคุณค่าให้คนอื่นได้
และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ… เมื่อคุณตั้งใจจะส่งมอบคุณค่า เงินและโอกาสก็มักจะตามมาเองโดยธรรมชาติ
จะเริ่มอย่างไรดี ถ้าในวันนี้ เรายังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร ลองเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ดังนี้:
- คุณเคยทำอะไรแล้วรู้สึกว่า “ดีจัง ที่เราได้ช่วยเขา”?
- คุณมีทักษะอะไรที่คนอื่นมักถามหาจากคุณ? (ตำน้ำพริก , ปลูกป่า , ดูประการัง , รู้จักที่กางเต้นท์วิวหรู ราคาหลักร้อย และคนไม่พลุกพล่าน?!)
- ถ้ามีโอกาสลองทำอะไรสักอย่าง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินเลย คุณจะทำอะไร? (ออกไปเที่ยว ,นอนเฉย : 2 อันนี้ก็ตอบได้นะ เช่น นำเสนอสถานที่ใหม่ๆ ที่คนไม่น่าจะเคยได้ไปและมันน่าสนใจ หรือการทดสอบที่นอน เพื่อมั่นใจว่าการนอนนั้น มันช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนๆที่ใช้ที่นอน อะไรอย่างนี้ก็ได้นะเออ)
บทสรุป: เริ่มต้นจากการมองหา….การส่งมอบคุณค่า
บางทีสิ่งที่เราชอบอาจไม่ได้ชัดเจนในตอนแรก แต่เราสามารถเริ่มต้นจาก การมองหาคุณค่าที่จะส่งมอบเป็นอันดับแรก
-ช่วยคนรอบตัวในสิ่งที่เราทำได้
-แชร์สิ่งที่เรารู้หรือประสบการณ์ที่เราเคยผ่าน
-ค่อยๆ สำรวจตัวเองว่าชอบในสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า
อย่ากดดันตัวเองว่าต้องรู้คำตอบทันที เพราะคำตอบเหล่านั้นจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เมื่อคุณลงมือทำและส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงให้คนอื่น
โดยส่วนตัวผมหาตัวเองนานมากกกกกกกกกกกกก กว่าจะเจอ
และไอ้บางอย่างที่เราคิดว่าตอนนี้ที่เราเจอแล้วมันใช่ วันนึงเมื่อเวลาเปลี่ยนไป มันอาจไม่ใช่แล้วก็ได้ ดังนั้น….อย่ายึดติด
สุดท้ายนี้ คุณเคยเจอโมเมนต์ “ใจฟู” แบบนี้บ้างหรือเปล่า? มาเล่าบอกให้ฟังกันบ้างนะครับ!