“ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส” ผมได้ยินคำพูดนี้ครั้งแรกจากปกหนังสือธรรมะสักเล่มที่ผมยังไม่ได้อ่าน แต่ผมกลับประทับใจและเก็บเป็นสิ่งเตือนใจทุกครั้งเสมอที่ผมทำงาน
ในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทั้งจากตัวเองและจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ การเรียนที่ต้องได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยม หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่ต้องพยายามรักษาไว้ให้ดีที่สุด
“ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส” เป็นคำพูดที่ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนคำเตือนใจและแนวทางที่ช่วยให้ผมจัดการกับความกดดันในชีวิตได้อย่างดี
ไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ที่ไม่อาจควบคุม
การทำเต็มที่ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดในทุกเรื่อง แต่มันหมายถึงการให้ใจและความตั้งใจกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร คุณก็มั่นใจได้ว่า “ฉันได้ทำ..ดีที่สุดแล้ว”
ในทางกลับกัน การ “ไม่ซีเรียส” คือ การปล่อยวางผลลัพธ์ที่เกินการควบคุมของเรา
คุณอาจทำงานอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้ความตั้งใจที่เราปล่อยออกไปแล้ว ทำงานให้แทนเรา การเรียนและความสัมพันธ์ก็เช่นกัน
-ถ้ามันดี นั่นถือเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา
-ถ้ามันไม่ดี อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้ทำเต็มที่ไปแล้วนี่นา
ความไม่ซีเรียสช่วยให้เราปล่อยวาง และกลับมาโฟกัสที่ความสุขจากการลงมือทำ
ทำไม “ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส” ถึงสำคัญ?
ความซีเรียสเกินไปทำให้เรากดดันตัวเองมากเกินจำเป็น ในขณะที่การทำเต็มที่โดยไม่ซีเรียสช่วยให้เรามีสุขภาพใจที่ดีขึ้น
หากคุณปล่อยวางความกลัวที่จะล้มเหลว และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองสิ่งใหม่ๆ คุณจะเติบโตจากความผิดพลาด
บทสรุป:
ทำเต็มที่ เพื่อให้ตัวเองภูมิใจในความพยายาม
แต่ไม่ซีเรียส เพื่อปล่อยวางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
เพราะในท้ายที่สุด… สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณได้ทำในสิ่งที่คุณรัก หรือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ ด้วยความรู้ความสามารถ ตามกำลังที่คุณมีในช่วงชีวิตนั้น และนั่นคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นคุณออกมาโดยไม่ต้องบรรยายอะไรมากมาย
สุดท้าย คุณจะภูมิใจในตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอคำชื่นชมจากใคร เพราะคุณได้ทำดีที่สุดแล้วในแบบของคุณ