CategoriesLife NotesToday..what i learn

ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส…

“ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส” ผมได้ยินคำพูดนี้ครั้งแรกจากปกหนังสือธรรมะสักเล่มที่ผมยังไม่ได้อ่าน แต่ผมกลับประทับใจและเก็บเป็นสิ่งเตือนใจทุกครั้งเสมอที่ผมทำงาน

ในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทั้งจากตัวเองและจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ การเรียนที่ต้องได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยม หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่ต้องพยายามรักษาไว้ให้ดีที่สุด

“ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส” เป็นคำพูดที่ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนคำเตือนใจและแนวทางที่ช่วยให้ผมจัดการกับความกดดันในชีวิตได้อย่างดี


ไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ที่ไม่อาจควบคุม

การทำเต็มที่ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดในทุกเรื่อง แต่มันหมายถึงการให้ใจและความตั้งใจกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร คุณก็มั่นใจได้ว่า “ฉันได้ทำ..ดีที่สุดแล้ว”

ในทางกลับกัน การ “ไม่ซีเรียส” คือ การปล่อยวางผลลัพธ์ที่เกินการควบคุมของเรา

คุณอาจทำงานอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้ความตั้งใจที่เราปล่อยออกไปแล้ว ทำงานให้แทนเรา การเรียนและความสัมพันธ์ก็เช่นกัน

-ถ้ามันดี นั่นถือเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา

-ถ้ามันไม่ดี อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้ทำเต็มที่ไปแล้วนี่นา

ความไม่ซีเรียสช่วยให้เราปล่อยวาง และกลับมาโฟกัสที่ความสุขจากการลงมือทำ


ทำไม “ทำเต็มที่ แต่ไม่ซีเรียส” ถึงสำคัญ?


ความซีเรียสเกินไปทำให้เรากดดันตัวเองมากเกินจำเป็น ในขณะที่การทำเต็มที่โดยไม่ซีเรียสช่วยให้เรามีสุขภาพใจที่ดีขึ้น


หากคุณปล่อยวางความกลัวที่จะล้มเหลว และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองสิ่งใหม่ๆ คุณจะเติบโตจากความผิดพลาด


บทสรุป:

ทำเต็มที่ เพื่อให้ตัวเองภูมิใจในความพยายาม
แต่ไม่ซีเรียส เพื่อปล่อยวางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

เพราะในท้ายที่สุด… สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณได้ทำในสิ่งที่คุณรัก หรือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ ด้วยความรู้ความสามารถ ตามกำลังที่คุณมีในช่วงชีวิตนั้น และนั่นคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นคุณออกมาโดยไม่ต้องบรรยายอะไรมากมาย

สุดท้าย คุณจะภูมิใจในตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอคำชื่นชมจากใคร เพราะคุณได้ทำดีที่สุดแล้วในแบบของคุณ


CategoriesAI Tools for EveryoneLife Notes

ตั้งเป้าหมายต้อนรับปีใหม่: ใช้ AI ช่วยพาคุณไปให้ถึงฝัน

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่ หลายคนคงเริ่มคิดถึง เป้าหมาย” ที่อยากทำให้สำเร็จในปีหน้านี้ใช่ไหมครับ? หลายครั้งที่เราตั้งเป้าหมายไว้ดีมาก แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่สัปดาห์เรากลับหลงทาง ไม่ทำต่อ หรือไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง (ค่าสมัครสมาชิก Fitness ยังผ่อน 6 เดือนไม่หมดเลย )

ระหว่างนี้ลองมาใช้ AI เป็นเพื่อน คู่คิด” ในการตั้งเป้าหมายและช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายกันครับ เพราะ AI ไม่ได้มีไว้แค่ช่วยหาข้อมูล แต่มันยังช่วย กระตุ้นความคิด วางแผน และสร้างแรงจูงใจ ได้ด้วย


1. ตั้งเป้าหมายส่วนตัวด้วย AI: Prompt พร้อมปรับให้เหมาะกับคุณ

ก่อนอื่น เราต้องเริ่มจากการตั้งคำถามที่ช่วยกระตุ้นความคิด เพื่อค้นหาเป้าหมายที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด ลองใช้ Prompt เหล่านี้กับ AI เช่น ChatGPT เพื่อช่วยกำหนดทิศทาง:

Prompt ตัวอย่าง

  1. ช่วยแนะนำเป้าหมายในปีใหม่ที่เหมาะกับคนที่สนใจพัฒนาตนเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน”
  2. ถ้าผมต้องการตั้งเป้าหมายเรื่องสุขภาพในปีนี้ คุณช่วยแนะนำเป้าหมายที่เป็นไปได้และน่าสนใจให้หน่อย”
  3. ช่วยสร้างรายการเป้าหมายในปี 2024 ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ พร้อมตัวอย่างการเริ่มต้น”

ตัวอย่างผลลัพธ์จาก AI

  • สำหรับสุขภาพ: “เริ่มต้นออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ด้วยโยคะหรือเดินเร็ว”
  • การพัฒนาตนเอง: “อ่านหนังสือเดือนละ 1 เล่มในหัวข้อที่คุณอยากเข้าใจ เช่น การเงิน, จิตวิทยา หรือทักษะการทำงาน”
  • การเรียนรู้: “เรียนรู้ภาษาใหม่ผ่านแอป เช่น Duolingo วันละ 15 นาที”

ตัวอย่างที่คนมักคิดตั้งเป้าปีใหม่กัน โดยส่วนมากมักจะมีหัวข้อดังนี้ครับ

สุขภาพและออกกำลังกาย
“ฉันอยากสุขภาพดีขึ้น ช่วยตั้งเป้าหมายที่ง่ายต่อการทำ เช่น เพิ่มการออกกำลังกายเป็นประจำหรือปรับอาหารการกินให้ดีขึ้น”

การเงินและการออม
“ฉันอยากเก็บเงินให้ได้มากขึ้นในปีหน้า ช่วยกำหนดเป้าหมายการออมที่เหมาะสมสำหรับคนเงินเดือน xx,xxx พร้อมวิธีลดรายจ่าย”

การพัฒนาตัวเอง
“อยากเรียนรู้และพัฒนาตนเองในปีหน้า แนะนำเป้าหมายเช่น อ่านหนังสือ, เรียนทักษะใหม่ หรือพัฒนาด้านการทำงาน”

ความสัมพันธ์
“ช่วยกำหนดเป้าหมายในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เช่น ใช้เวลากับครอบครัว หรือเรียนรู้การสื่อสารที่ดีขึ้น”

ความสุขและสมดุลชีวิต
“ฉันอยากชีวิตสงบและสมดุลมากขึ้นในปีหน้า ช่วยตั้งเป้าหมายการจัดเวลาให้มีทั้งงานและพักผ่อน”

สุขภาพจิต
“ช่วยแนะนำเป้าหมายเล็กๆ ในการดูแลจิตใจ เช่น ฝึกสมาธิ, เขียนบันทึก หรือหยุดคิดลบ”

การงานและอาชีพ
“ฉันอยากเพิ่มความก้าวหน้าในอาชีพปีหน้า ควรตั้งเป้าหมายอะไรบ้าง เช่น การพัฒนาทักษะหรือการเริ่มโปรเจกต์ใหม่?”

งานอดิเรก/การผ่อนคลาย
“ปีนี้ฉันอยากมีเวลาทำสิ่งที่รักมากขึ้น เช่น งานอดิเรกหรือกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ ช่วยแนะนำเป้าหมายที่ชัดเจน”

จุดสำคัญคือปรับเป้าหมายให้เหมาะกับตัวเองที่สุด เช่น ถ้าคุณไม่ชอบการอ่าน อาจเปลี่ยนเป้าหมายเป็นฟังหนังสือเสียงแทน


2. ใช้หลัก SMART เพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจน

เมื่อเรากำหนดเป้าหมายคร่าวๆ ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้มันชัดเจน วัดผลได้ และเป็นไปได้จริง ด้วยหลัก SMART เพื่อช่วยให้เป้าหมายของเรามีโครงสร้างที่แน่นอน และเพิ่มโอกาสในการทำสำเร็จ โดยมีรายละเอียดของ SMART ดังนี้

SMART คืออะไร?

  • S: Specific (เฉพาะเจาะจง)
    เป้าหมายต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ หรือกว้างเกินไป
    • ถามตัวเอง: “เป้าหมายนี้เกี่ยวกับอะไร?”
    • ตัวอย่าง: แทนที่จะบอกว่า “อยากสุขภาพดี” ให้เจาะจงว่า “อยากลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัม”
  • M: Measurable (วัดผลได้)
    เป้าหมายต้องสามารถวัดผลได้ เพื่อให้เรารู้ว่าเรากำลังเดินหน้าหรือไม่
    • ถามตัวเอง: “ฉันวัดความสำเร็จได้อย่างไร?”
    • ตัวอย่าง: “ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัมใน 3 เดือน” หมายความว่าเราสามารถชั่งน้ำหนักเพื่อติดตามผลได้
  • A: Achievable (ทำได้จริง)
    เป้าหมายต้องเป็นสิ่งที่เราทำได้ ไม่ไกลเกินความสามารถ
    • ถามตัวเอง: “ถ้าฉันจะทำเรื่องนี้ ฉันสามารถทำได้จริงหรือไม่?”
    • ตัวอย่าง: ถ้าคุณไม่มีเวลาออกกำลังกายทุกวัน อาจปรับเป้าหมายเป็น “ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์” แทน
  • R: Relevant (เกี่ยวข้องและเหมาะสม)
    เป้าหมายควรสอดคล้องกับสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นบอกว่าคุณควรทำ
    • ถามตัวเอง: “เป้าหมายนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า?”
    • ตัวอย่าง: ถ้าคุณไม่สนใจการวิ่ง แต่ชอบโยคะ การตั้งเป้าหมายเรื่องการวิ่งอาจไม่เหมาะกับคุณ
  • T: Time-bound (กำหนดเวลา)
    เป้าหมายต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นให้เราเริ่มต้นและติดตามความคืบหน้า
    • ถามตัวเอง: “ฉันจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จเมื่อไหร่?”
    • ตัวอย่าง: “ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัมภายใน 3 เดือน” ทำให้คุณรู้ว่าเมื่อครบ 3 เดือน คุณควรตรวจสอบผล

ตัวอย่างการปรับเป้าหมายด้วย SMART

เป้าหมายเริ่มต้น: “อยากสุขภาพดี”

ปรับด้วย SMART:

S (เฉพาะเจาะจง): ฉันจะลดน้ำหนัก

M (วัดผลได้): ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัม

A (ทำได้จริง): ทำได้ด้วยการออกกำลังกาย 3 ครั้ง/สัปดาห์ และปรับการกินอาหาร

R (เกี่ยวข้อง): เพราะฉันต้องการมีพลังงานมากขึ้นสำหรับงานและครอบครัว

T (กำหนดเวลา): ภายใน 3 เดือน


3. ทำต่อเนื่อง 21 วัน เพื่อสร้างนิสัย และต่อยอดในระยะยาว

มีงานวิจัยบอกว่า การทำสิ่งใดต่อเนื่อง 21 วัน” ช่วยให้สมองเริ่มสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา แต่การบรรลุเป้าหมายใหญ่ต้องอาศัยการแบ่งเป้าหมายออกเป็นช่วงสั้นๆ

วิธีทำให้เป้าหมายสำเร็จทีละขั้น

  1. ช่วง 21 วันแรก (ระยะสั้น):
    • โฟกัสที่ “การเริ่มต้น” และสร้างความเคยชิน เช่น เดินวันละ 10 นาที หรือเขียนเป้าหมายในสมุดทุกวัน
  2. ระยะกลาง (3 เดือน):
    • เพิ่มความท้าทาย เช่น เดินให้ได้ 30 นาทีทุกวัน หรือเริ่มเรียนคอร์สออนไลน์แล้วต้องส่งงานให้ครบ
  3. ระยะยาว (6 เดือน):
    • ทบทวนและปรับเป้าหมาย เช่น จากเดินเร็วเป็นวิ่ง หรือจากเรียนรู้ทักษะใหม่เป็นการลงมือทำโปรเจกต์จริง

4. ใช้เครื่องมือ (Tools) ช่วยให้เป้าหมายกลายเป็นจริง

เทคโนโลยีช่วยให้เราจัดการเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อช่วยติดตามและกระตุ้นตัวเอง:

สำหรับการวางแผนและติดตามเป้าหมาย

  • Notion: ใช้สำหรับวางเป้าหมายและจดบันทึกความก้าวหน้า
  • Trello: สร้างบอร์ดเป้าหมาย และติดตามความคืบหน้าทีละขั้น
  • Google Keep หรือ Evernote: จดบันทึกสั้นๆ สำหรับไอเดียหรือสิ่งที่ต้องทำ

สำหรับสุขภาพและนิสัย

  • Habitica: แอปติดตามนิสัยที่เปลี่ยนกิจวัตรให้เหมือนเกม สนุกและกระตุ้นตัวเอง
  • MyFitnessPal: ติดตามอาหารและการออกกำลังกาย
  • Strava: สำหรับติดตามการเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน

สำหรับการเรียนรู้

  • Coursera หรือ Skillshare: ค้นหาคอร์สเรียนที่เกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ
  • Duolingo: เรียนภาษาง่ายๆ วันละ 10 นาที

สรุป: ปีนี้ คุณจะไปให้ถึงไหน?

ปีใหม่คือโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นใหม่ แต่การตั้งเป้าหมายให้สำเร็จไม่ได้อยู่ที่ “คำอวยพร” หรือ “แรงบันดาลใจ” เท่านั้น แต่อยู่ที่การลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

  1. ใช้ AI ช่วยค้นหาเป้าหมายที่เหมาะกับคุณ
  2. ปรับเป้าหมายด้วยหลัก SMART เพื่อความชัดเจน
  3. แบ่งเป้าหมายออกเป็นช่วงเวลา: 21 วัน, 3 เดือน, และ 6 เดือน
  4. ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ช่วยให้คุณไม่หลุดจากเส้นทาง

เชื่อว่าปีหน้า ชีวิตเราจะไม่เหมือนปีนี้แน่นอน แม้มองไม่เห็นแต่ขอฝันถึงชีวิตที่ดีไปก่อน! 🚀
แล้วคุณล่ะครับ เป้าหมายปีหน้าของคุณที่ตั้งไว้คืออะไร มาเล่าบอกแชร์เป้าหมายกันบ้างนะครับ? 😊

CategoriesLife Notes

กว่าจะรู้ว่าเราชอบ(ทำ)อะไร: เรื่องราวของการทดลองและการตามหาความรู้สึก”ใจฟู”

หลายครั้งผมถามตัวเองว่า “เราชอบทำอะไรจริงๆ กันแน่?” แต่คำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบที่ชัดเจนให้ผมเลย แม้จะลองทำมาหลายอย่าง แต่ทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่ ผมก็ต้องจบลงด้วยความรู้สึกเดิมๆ


เส้นทางที่เต็มไปด้วยการลองผิดลองถูก

ผมเป็นคนที่ลองทำมาหลายอย่างจนตัวเองยังงงว่า “เราไปทำอะไรมาเยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง?”

เคยขับรถส่งอาหาร 🍔 คิดว่างานง่าย รายได้ดี แต่ทำไปไม่นานเมื่อถูกปรับลดราคาค่าส่งลง ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ทำไปไม่คุ้ม

ลงเรียนตัดผม 💇 หวังว่าจะเปิดร้านของตัวเอง แต่สุดท้ายความสนใจก็จางหาย ทิ้งไว้แต่เพียงอุปกรณ์ตัดผม 🤣

จ่ายเงินหลักหมื่นลงเรียน Forex กับอาจารย์ดัง💰 คิดว่าเราจะเก่งและทำกำไรได้ แต่สุดท้ายหมดเงินไปเป็นหลักแสน😅

ลงเรียนการตลาดออนไลน์ 📊 กับผู้สอนดังๆ เพราะคิดว่าจะสร้างธุรกิจส่วนตัวได้ แต่ก็ไม่เคยได้ทำจริงจัง เพราะไม่รู้เราจะหาสินค้าอะไรไปขายดี

ลงเรียนเรื่องการขาย 🤑 เพราะหวังจะพรีเซ็นต์และนำเสนอในสิ่งที่ดีให้ลูกค้า แต่เรียนไปเรียนมา มันเหมือนจิตวิทยาที่พูดชักจูงให้คนคล้อยตาม พูดนำอย่างไรให้คนไม่ปฏิเสธ ทั้งเรื่องที่ทำให้กลัวเสียโอกาส ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ คุณจะไม่ได้ราคานี้ ฯลฯ

เคยอยากเป็น Content Creator 🎥 คิดจ้างรุ่นน้องมาช่วยทำช่อง ถามราคารุ่นน้องไป ว่าตัดต่อแบบมืออาชีพช่องดัง ต้องเสียเงินตอนละเท่าไหร่ รุ่นน้องตอบกลับมาว่า “ดีที่สุดคือพี่ทำแชร์สิ่งที่ตัวเองชอบเองไปเรื่อยๆ แบบนั้นจะดีกว่ามาจ้าง” พอถึงตรงนี้ ก็วกกลับมาที่คำถามเดิม ว่าตอนนี้เราชอบอะไรนะ?!😅

ลงเรียนวิธีนำเข้าสินค้าจากจีน 📦 ฝันว่าจะหาสินค้าที่เป็นกระแสนำเข้ามาขายในไทย แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นอะไร เพราะไม่รู้จะขายอะไรดี?!

ที่ทำมาทั้งหมดนี้ จุดร่วมจุดหนึ่งคือ…ผมหวังแต่เรื่อง “เงิน” เป็นหลัก


แล้วทำไมมันไม่สำเร็จสักอย่าง?

สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มสังเกตได้จากการย้อนมองตัวเอง คือ ทุกครั้งที่ผมเริ่มต้นใหม่ ผมไม่ได้เริ่มจากสิ่งที่ผมรัก แต่ผมเริ่มจากมอง “เงิน” เป็นอันดับแรก

ผมคิดว่า “สิ่งนี้ต้องทำเงินให้เราได้แน่นอน”

แต่ปัญหาคือ เงินอาจสำคัญ แต่ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เรารัก มันก็เลยไม่พาเราไปไหนไกล


ตกผลึก: เงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราต้องการ

วันหนึ่งผมถามตัวเองว่า “ถ้าเงินไม่ใช่สิ่งที่เรารัก แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ?”

คำตอบมันชัดเจนขึ้นเมื่อผมมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ผมรู้สึก “ดีใจ” หรือ “ภูมิใจ” มากที่สุดในชีวิต

นั่นคือช่วงเวลาที่ผม…

ช่วยคนอื่นแก้ปัญหา: ตอนที่มีคนขอบคุณเรา เพราะคำแนะนำของเราทำให้เขาแก้ปัญหาได้ ทีนี้เลยใจฟูเลย ฟูแบบที่เงินก็ซื้อไม่ได้ (Giver)

สอนคอร์สเสร็จให้กับนักเรียน: ได้เห็นพวกเขาเข้าใจและเอาสิ่งที่เราสอนใช้ได้จริง สร้างแอพฯมือถือขึ้นมาจริงๆ ความฟูนั้นติดตัวไปเป็นอาทิตย์! แล้วยิ่งมารู้ว่านักเรียนเหล่านั้น ได้งานดีๆ ได้เงินดีๆ ความฟูทีนี้มันติดตัวไปยาวๆเลย (Giver)

แชร์ประสบการณ์: เล่าเรื่องที่เราเคยเจอ แล้วคนฟังบอกว่า “เฮ้ย ขอบคุณมาก ช่วยผมได้มากจริงๆ” (Giver)

จนจุดนึงผมเริ่มตกผลึกว่า คุณค่าที่เราส่งมอบให้คนอื่น มันสามารถสร้างความสุขและความหมายให้ตัวเราได้มากกว่าเงิน


คุณค่า: สิ่งที่สร้างความหมายให้ชีวิตเรา

จากจุดนั้น ผมเริ่มเปลี่ยนคำถามในใจ จาก “สิ่งนี้ทำเงินได้ไหม?” เป็น “สิ่งนี้ช่วยคนอื่นได้ไหม?”

ผมพบว่าการได้ส่งมอบคุณค่าให้คนอื่น ทำให้ชีวิตของผมมีความหมายมากขึ้น เช่น:

การแชร์ความรู้ของเราให้ใครบางคนในสิ่งที่เขาไม่รู้

การช่วยแนะนำวิธีแก้ปัญหาเล็กๆ ให้เพื่อนร่วมงาน

การแชร์ประสบการณ์ที่เราผ่านมา เพื่อให้คนอื่นไม่ต้องเจอปัญหาแบบเรา

มันไม่ใช่แค่ “ใจฟู” ชั่วคราว แต่เป็นความสุขที่ค่อยๆ สะสม จนเรารู้สึกว่า ชีวิตนี้ช่างมีคุณค่าจริงๆ


จากการมองหาเงิน สู่การมองหาคุณค่า

เมื่อผมเริ่มเปลี่ยนมุมมอง ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป:

ผมไม่ต้องกดดันตัวเองให้หา “สิ่งที่ใช่” ในทันที

ผมไม่ต้องวิ่งตามสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง เพียงเพราะมันทำเงินได้มาก

ผมเริ่มมองหาสิ่งที่เราสามารถส่งมอบคุณค่าให้คนอื่นได้

และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ… เมื่อคุณตั้งใจจะส่งมอบคุณค่า เงินและโอกาสก็มักจะตามมาเองโดยธรรมชาติ


จะเริ่มอย่างไรดี ถ้าในวันนี้ เรายังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร ลองเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ดังนี้:

  1. คุณเคยทำอะไรแล้วรู้สึกว่า “ดีจัง ที่เราได้ช่วยเขา”?
  2. คุณมีทักษะอะไรที่คนอื่นมักถามหาจากคุณ? (ตำน้ำพริก , ปลูกป่า , ดูประการัง , รู้จักที่กางเต้นท์วิวหรู ราคาหลักร้อย และคนไม่พลุกพล่าน?!)
  3. ถ้ามีโอกาสลองทำอะไรสักอย่าง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินเลย คุณจะทำอะไร? (ออกไปเที่ยว ,นอนเฉย : 2 อันนี้ก็ตอบได้นะ เช่น นำเสนอสถานที่ใหม่ๆ ที่คนไม่น่าจะเคยได้ไปและมันน่าสนใจ หรือการทดสอบที่นอน เพื่อมั่นใจว่าการนอนนั้น มันช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนๆที่ใช้ที่นอน อะไรอย่างนี้ก็ได้นะเออ)

บทสรุป: เริ่มต้นจากการมองหา….การส่งมอบคุณค่า

บางทีสิ่งที่เราชอบอาจไม่ได้ชัดเจนในตอนแรก แต่เราสามารถเริ่มต้นจาก การมองหาคุณค่าที่จะส่งมอบเป็นอันดับแรก

-ช่วยคนรอบตัวในสิ่งที่เราทำได้

-แชร์สิ่งที่เรารู้หรือประสบการณ์ที่เราเคยผ่าน

-ค่อยๆ สำรวจตัวเองว่าชอบในสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า

อย่ากดดันตัวเองว่าต้องรู้คำตอบทันที เพราะคำตอบเหล่านั้นจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เมื่อคุณลงมือทำและส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงให้คนอื่น

โดยส่วนตัวผมหาตัวเองนานมากกกกกกกกกกกกก กว่าจะเจอ

และไอ้บางอย่างที่เราคิดว่าตอนนี้ที่เราเจอแล้วมันใช่ วันนึงเมื่อเวลาเปลี่ยนไป มันอาจไม่ใช่แล้วก็ได้ ดังนั้น….อย่ายึดติด

สุดท้ายนี้ คุณเคยเจอโมเมนต์ “ใจฟู” แบบนี้บ้างหรือเปล่า? มาเล่าบอกให้ฟังกันบ้างนะครับ!


CategoriesLife NotesToday..what i learn

พลังแห่งการลงมือทำ: แบ่งปันจากชายวัย 39

พลังแห่งการลงมือทำ: แบ่งปันจากชายวัย 39

👋 สวัสดีครับทุกคน

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมได้ลองทำสิ่งต่างๆ มากมาย บางอย่างสำเร็จ บางอย่างผิดพลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ทุกครั้งที่ผมลงมือทำ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ผมมักได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญกลับมาเสมอ วันนี้ผมเลยอยากมาแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับ “พลังแห่งการลงมือทำ” ให้ทุกคนได้อ่านกันครับ 🌟


จุดเริ่มต้น: หนังสือที่เปลี่ยนชีวิต 📚

ผมชื่นชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะหนังสือจากสำนักพิมพ์ WeLearn ที่มักนำเสนอแนวคิดกระตุ้นแรงบันดาลใจ ✨ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากหนังสือเหล่านี้คือ

💡 “การลงมือทำ” คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ

ในแต่ละหน้าของหนังสือ มันย้ำเตือนผมเสมอว่า ถ้าเราเริ่มต้นลงมือทำในสิ่งที่ดี มันจะส่งผลดีต่อชีวิตเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 🛤️


บทเรียนจากชีวิต: พลังแห่งการลงมือทำ 💪

1. การศึกษา: ก้าวเล็กๆ ที่นำไปสู่โอกาสใหญ่ 🎓

ย้อนกลับไปตอนเด็ก ผมเคยเรียน กศน. โดยที่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเรียนไปทำไม 🤔 แต่เมื่อเรียนจบ มันกลับเป็นใบเบิกทางที่ทำให้ผมได้รับโอกาสทำงานในบริษัทที่ดี 💼

ช่วงเวลานั้นทำให้ผมเชื่อมั่นว่า การลงมือทำแม้ยังไม่รู้จุดหมายชัดเจน ก็อาจนำเราไปสู่สิ่งที่เราคาดไม่ถึง 🚀

2. การสอนออนไลน์: จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่เส้นทางใหม่ 🧑‍🏫

ผมเคยอยากสอนออนไลน์ผ่าน Udemy โดยที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการสอนมาก่อน 😅 แต่เมื่อเริ่มทำและฝ่าฟันความกลัวไปได้ สิ่งที่ตามมาคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ 🌟

ผมได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยและเป็นวิทยากรในวิทยาลัยอีกหลายแห่ง 🎓✨ ประสบการณ์นี้สอนผมว่า

การเริ่มต้นในสิ่งที่เราอยากทำ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต

3. การเรียนภาษาอังกฤษ: การลงทุนที่ส่งผลระยะยาว

ผมเคยเรียนภาษาอังกฤษแบบไม่มีเป้าหมายชัดเจน 📖 แต่วันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง ผมกลับได้ทำงานกับชาวต่างชาติ 🌍 และใช้ภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง

มันย้ำเตือนผมว่า การลงมือทำในวันนี้ อาจส่งผลดีในอนาคตที่เรามองไม่เห็น 🔮


ความไม่พร้อม: เหรียญสองด้านของชีวิต 🪙

ชีวิตผมยังสอนว่า “ความไม่พร้อม” เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน

  • ด้านดี: ความไม่พร้อมผลักดันให้ผมพัฒนา เช่น การรับงานสอนที่ยากเกินตัว การรับงานพัฒนาเขียนโปรแกรม รับงานเขียนเว็บไซต์ รับงานพัฒนา Mobile Application เหล่านี้ทั้งหมด ผมเริ่มต้นตอนที่ไม่พร้อม แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้กลับช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ เข้ามานับไม่ถ้วน 🏆 (ผมหงอกก็เช่นเดียวกัน🤣)
  • ด้านไม่ดี: ผมเคยรับงานพัฒนาเขียนโปรแกรมโดยไม่กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน ไม่คิดราคาให้ชัดเจน รับงานตัดหน้ามืออาชีพ เพราะมั่นใจว่าตัวเองเก่ง จนสุดท้ายงานล่าช้าและเกิดปัญหา จนรู้สึกว่าเราเสียชื่อ ไม่น่าไปรับปากทำงานเลย ❌

สิ่งสำคัญคือ การเรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น ()🔧


บทสรุป: พลังแห่งการลงมือทำ 🎯

💡 ตลอดชีวิตที่ผมลงมือทำสิ่งต่างๆ ผมได้เรียนรู้ว่า ทุกก้าวเล็กๆ ที่เราก้าวเดิน แม้จะดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มันคือสิ่งที่พาเราเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ 🚶‍♂️➡️🏆

อย่ารอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ อย่าปล่อยให้ความคิดกังวลหรือความกลัวหยุดคุณ 💭 เพราะบ่อยครั้ง การคิดมากเกินไปจะกลายเป็นกำแพงที่ขวางทางเรา เรากังวลว่าจะไม่ดีพอ หรือกลัวว่าจะล้มเหลว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

“การลงมือทำ” แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ ก็ยังดีกว่าการไม่เริ่มต้นเลย

และเมื่อคุณลงมือทำ จะมีคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณทำ และพร้อมที่จะสนับสนุนคุณเสมอ 🙌 ไม่ว่าคุณจะทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อผู้อื่น พลังแห่งการลงมือทำจะดึงดูดโอกาสและผู้คนดีๆ เข้ามาในชีวิต

หยุดคิด แล้วเริ่มทำตอนนี้เลย
เพราะโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ ไม่ได้อยู่ในอนาคตที่ไกลโพ้น แต่มันซ่อนอยู่ในสิ่งที่คุณกล้าทำใน “ตอนนี้” 💪✨

ชีวิตของคุณกำลังรอให้คุณสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และคุณคือคนเดียวที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ 🌟

ขอสนับสนุนทุกการลงมือทำในสิ่งที่ดีครับ😊

CategoriesLife Notes

ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้รู้จักใช้ AI

ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้รู้จักใช้ AI 🎯

วิถีชีวิตของผมในวัย 39 เริ่มต้นเพียงเพื่อเอาตัวรอดกับหน้าที่ต่างๆ ทั้งงาน ครอบครัว และความรู้ใหม่ๆ ที่เหมือนจะกองเต็มโต๊ะทุกวัน แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อผมมาเจอกับ AI ที่ใช่ มันเหมือนมีเพื่อนคู่คิดที่เก่งทุกเรื่อง ช่วยให้การทำงาน การเรียนรู้ และการจัดการชีวิตง่ายขึ้นไปอีกขั้นสำหรับใครที่คิดว่า AI คือของเล่นไฮเทค ขอบอกเลยว่ามันไม่ได้แค่นั้นครับ มันคือ “ปาฏิหาริย์เล็กๆ” สำหรับคนที่เวลามีจำกัดแบบผม อยากรู้ไหมครับว่าชีวิตดีขึ้นยังไงบ้าง?

ลองนึกภาพตามดูกัน…

💻 จากงานที่เคยยาก ตอนนี้กลายเป็นปอกกล้วย

  • แต่ก่อนต้องนั่ง Copy ข่าวทีละข่าว Save รูปภาพทีละภาพมาโพสต์ลงเว็บไซต์ ลองคิดดูว่าต้องเสียเวลาไปเท่าไหร่… แต่พอผมลองให้ AI เขียนโค้ดให้แทน แค่พิมพ์ Prompt เดียว เช่น
    “ช่วยเขียน Python Code สำหรับดึงข่าวจาก … และโพสต์ไปที่เว็บไซต์”
    พอได้โค้ดมาลองใช้ในไม่กี่วินาที แก้ไขปรับนิดหน่อย ใช้งานได้ทันที! งานที่เคยต้องใช้ครึ่งค่อนวันถูกย่นเวลาให้เหลือแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น Cool เกิ๊น..
  • หรือเวลาผมต้องเขียนบล็อกเพื่ออัปเดตสิ่งที่เรียนพึ่งจบมา จากที่เคยกินเวลาไปทั้งชั่วโมงหรือทั้งวัน ตอนนี้ AI ช่วยจัดการให้เรียบร้อย แค่ใส่หัวข้อที่ต้องการ หรือร่างไอเดียของผมแล้วโยนให้มันช่วยขยายความต่อ มันก็สามารถเข้าใจได้ จะเทพไปไหน

⏩ สรุปง่ายๆ เลยมันคือ “ตัวเราคนเดิม แต่เร็วกว่า ฉลาดกว่า และละเอียดกว่าในแบบที่เราไม่ต้องเปลืองเวลา!”


🎥 AI กับการบริหารเวลา: สรุป 4 ชั่วโมงให้เหลือแค่ 4 นาที

จากที่เมื่อก่อน ต้องเสียเวลาฟังวิดีโอสัมมนายาวๆ บน YouTube หลายชั่วโมงเพื่อตามหาประเด็นสำคัญ หรือจำใจดูรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกวันนี้ AI เข้ามาช่วยสรุปคลิปหลายชั่วโมงให้กลายเป็นข้อมูลสำคัญในเวลาสั้นๆ และเป็นหัวข้อที่เข้าใจง่ายสุดๆ เช่น

  • อธิบาย Performance Test , เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่าง K6 กับ Jmeter
  • ดูรีวิวเทรนด์เกี่ยวกับงาน QA

ผมแค่เอาลิงก์ให้ AI ช่วยสรุปเนื้อหาหลักๆ พร้อมใส่ความคิดสำคัญๆลงไป คราวนี้ไม่ต้องเลื่อนหาเนื้อหาด้วยตัวเองเลย เอากับมันสิ!


📚 ความรู้คือพลัง และ AI คือแหล่งย่อโลกการเรียนรู้
เมื่อก่อนเวลาผมเจออะไรใหม่ อยากศึกษาเรื่องยากๆ อย่าง DevOps ,Kubernetes หรือภาษา Programming ใหม่ๆ ผมต้องใช้เวลาอ่านหนังสือ 3-4 เล่ม เข้า Coursera , Udemy หรือคุ้ยข้อมูลใน Google ทีละหลายชั่วโมง แต่ทุกวันนี้ AI ช่วยให้ผม “เข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนได้ในเวลาอันสั้น”

  • สรุปหนังสือธุรกิจภายในไม่กี่บรรทัด
  • อธิบายคอนเซปต์ยากๆ ให้เข้าใจเหมือนเพื่อนมาเล่าให้ฟัง

นี่แหละครับ เหมือนมีโค้ชและห้องสมุดเคลื่อนที่อยู่ในมือ ผมเลยมั่นใจว่าผมไม่หยุดอยู่แค่สิ่งที่ผมทำในทุกวันนี้แน่นอน

จำได้อยู่ตอนนึง เคยทะเลาะกันกับน้องในที่ทำงานที่หาว่าผมทำงาน แล้วทำไมจำงานบางอย่างไม่ได้ ตอนนั้นผมตอบไปว่า “ถึงแม้จะจำไม่ได้ แต่ผมรู้ว่าจะหาคำตอบได้อย่างไร” พอมาวันนี้มี AI เข้ามา ผมคิดว่า สิ่งที่ผมทำตอนนั้นมันถูกแล้ว คือผมไม่ต้องจำทั้งหมดก็ได้ ขอแค่รู้ว่าหาคำตอบได้ที่ไหน และเข้าใจในคำตอบที่ได้มาก็พอ


ความฝันที่เคยใหญ่เกินไป ตอนนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม… 🚀
เมื่อก่อนผมยังคิดว่าหลายๆ โปรเจกต์ที่อยากเริ่ม มันดูซับซ้อนเกิน จนต้องพับเก็บไว้ก่อน แต่ตอนนี้พอมี AI เป็น “ที่ปรึกษาหลัก” ผมเริ่มเชื่อว่า ผมสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เช่น:
สร้างระบบอัตโนมัติสำหรับธุรกิจ:** ใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด หรือร่างต้นแบบ Tool ที่ช่วยงาน
ทำ Blog หรือ Platform ความรู้ขนาดใหญ่:** ใช้ AI จัดการเรื่อง Content ให้เรียบร้อย
พัฒนาแอป หรือสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของตัวเอง:**ใช้ AI ทำให้การพัฒนาแอปซับซ้อนน้อยลง หรือแม้แต่ฝันว่าจะ Push Code ขึ้น GIT ทุกวัน : อันนี้อาจไม่มีเหตุผลหรือเกี่ยวข้องกับ AI นะ แต่ที่รู้คือตอนนี้ ชอบที่ GIT มันเขียวเวลาเรา Push Code ไปที่ GIT แต่ละวัน!? 555+

จากสิ่งที่เคยกลัวว่าจะยากหรือทำไม่ไหว กลายเป็นแผนที่ผมมั่นใจว่าทำสำเร็จได้แน่นอน

ตอนนี้เริ่มเชื่อแล้วว่าการมี AI ในชีวิต ไม่ได้แค่ทำให้ชีวิตง่าย แต่มันเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้เราก้าวหน้าได้เร็วขึ้นหลายเท่าด้วย


💡 สรุป… AI ไม่ใช่แค่ “เครื่องมือ” แต่มันคือ “เพื่อนร่วมทีมที่พกเอาเข็มทิศมาด้วย” ที่ช่วยทำให้ผมมองโลกในมุมใหม่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่โอกาส

ใครที่ยังลังเล แนะนำให้ลองเปิดใจดู แค่เริ่มต้นด้วย AI ที่ช่วยงานง่ายๆ คุณอาจค้นพบว่าตัวเองมีเวลาและโอกาสสร้างฝันที่ใหญ่กว่านี้ได้

ปล. อย่าลืมนะครับ AI เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้ตัดสินทุกเรื่อง สุดท้าย ชีวิตของเรายังเป็นบทบาทของเราเอง …แต่จะดีกว่าถ้ามี AI เป็นผู้ช่วยเก่งๆ ที่คอย support เราอยู่ข้างๆ 😊

CategoriesLife Notes

ความเคลื่อนไหวล่าสุดในวงการ QA: เทรนด์ สถิติ และอนาคตในปี 2024

ความเคลื่อนไหวล่าสุดในวงการ QA: เทรนด์ สถิติ และอนาคตในปี 2024

ปี 2024: จุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ QA!
โลกของ Quality Assurance (QA) กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เมื่อเทคโนโลยีอย่าง AI, Machine Learning และ Autonomous Testing เข้ามามีบทบาท ส่งผลให้แนวคิดการทำงานแบบเดิมๆ ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจเทรนด์ใหม่ๆ สถิติที่น่าสนใจ และมองหาอนาคตของ QA ในปีนี้


🔍 5 เทรนด์สำคัญที่ต้องจับตาในปี 2024

1. AI และ Machine Learning ใน QA

AI ไม่เพียงแต่ช่วยลดเวลาในการทดสอบ แต่ยังสร้าง Test Cases อัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และตรวจหา Bug ด้วยความแม่นยำสูง นี่เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของซอฟต์แวร์ในแบบเรียลไทม์

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • การทำนายปัญหา Bug ที่อาจเกิดขึ้นก่อนการพัฒนา
  • การตรวจสอบโค้ดระหว่างใช้งานได้ทันที

2. Shift-Left Testing

แนวคิดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยนำ QA เข้าไปร่วมตั้งแต่ต้นของวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC)
ผลลัพธ์คือ การลดต้นทุนเวลา และค้นหาข้อผิดพลาดได้รวดเร็วกว่าเดิม

3. Cybersecurity Testing: ความปลอดภัยมาก่อน

ในยุคที่ข้อมูลคือ “ทรัพย์สินสำคัญ” การทดสอบ Cybersecurity กลายเป็นภารกิจสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเงินและการแพทย์

4. Autonomous Testing: QA อิสระด้วย AI

ระบบ Autonomous Testing ช่วยทดสอบและจัดการ Test Cases ได้แบบอัตโนมัติ ลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในกระบวนการได้อย่างน่าทึ่ง

5. การทดสอบ IoT และ Cross-Browser บน Cloud

การทดสอบ IoT Automation Testing เป็นสิ่งที่ห้ามละเลย เมื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
การทำ Cloud-based Cross-Browser Testing จะช่วยลดข้อจำกัดในการทดสอบบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ต่างๆ


📊 สถิติเด่นที่สะท้อนวงการ QA ในปี 2024

  • 48% ขององค์กรระบุว่า “เวลาในการทดสอบ” เป็นปัญหาหลักในการพัฒนาคุณภาพซอฟต์แวร์
  • 47% ของบริษัทมีเป้าหมายที่่จะใช้ AI กับงาน QA ภายในปีถัดไป
  • 32% ของทีม QA ใช้ Test Automation อย่างเต็มรูปแบบ และมีแนวโน้มเติบโตอีก 20% ในปีนี้
  • 38% ของปัญหาด้านคุณภาพ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดที่บ่อยครั้ง
  • สหรัฐอเมริกาและยุโรป ลงทุนใน GDPR Compliance Testing และ Cybersecurity Testing สูงสุด

🚀 อนาคตของ QA: เทรนด์ที่จะครองปีถัดไป

1. QAOps: รวม QA และ DevOps เข้าด้วยกัน

การบูรณาการ QA เข้ากับ DevOps จะกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้น QAOps ช่วยให้ทีมสามารถตรวจสอบซอฟต์แวร์และปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง

2. Scriptless Automation

การใช้เครื่องมือ Scriptless Automation ช่วยลดการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน ให้ทีม QA ทำงานได้ง่ายและสะดวกกว่าเดิม

3. Sustainability QA

องค์กรจะมุ่งเน้นกระบวนการ QA ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การใช้ Cloud Tools หรือ Testing Tools แบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อช่วยลดผลกระทบที่มีต่อโลก


💡 บทสรุป: QA ในจุดเปลี่ยนแห่งยุคดิจิทัล

ปี 2024 เป็นปีที่วงการ QA ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI, ML และ Shift-Left Testing จะช่วยยกระดับกระบวนการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ Cybersecurity และ IoT Testing ยังคงมีบทบาทสำคัญ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่QAควรให้ความสำคัญ คือการพัฒนาทักษะ ปรับตัว และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อรองรับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต

“เพราะอนาคตของ QA ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ AI แต่มาจากการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเทคโนโลยี”


📌 ติดตามบทความและเทรนด์ QA ล่าสุดได้ที่นี่!
#QA2024 #AIinQA #ShiftLeftTesting #FutureTrends

CategoriesLife NotesToday..what i learn

โจรสลัด…..เรื่องนิทานในวัยเด็ก : The Treasure Hunt: From Childhood Dreams to Adult Realities

เด็กๆเคยชื่นชอบการ์ตูนแนวโจรสลัดผจญภัย พล็อตเรื่องของการตามล่าหาสมบัติ โดยเฉพาะสมบัติที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่จำได้ดีว่าสนุกไปกับพล็อตเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก พร้อมทั้งเอาใจช่วยให้ตัวละครเอกเหล่านั้นออกตามหาสมบัติจนเจอ

วันเวลาผ่านไปจากเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ นิทานเรื่องการหาสมบัติเป็นได้แค่การ์ตูนหลอกเด็ก ที่ทำให้เราได้รู้ว่าสมบัติเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง

แต่……..เจ้าพล็อตเดิมมันก็โผล่มาให้เราเจอกับตัวเองในชีวิตช่วงนี้

ตัวละครโจรสลัดคนที่ตามหาสมบัติก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่กลับเป็นคนอย่างเราๆที่ยังเชื่อในการลงมือทำอะไรสักอย่าง โดยไม่รู้ว่าเราจะทำมันได้สำเร็จหรือไม่

ตัวอย่างเช่น ตัวของผมเองที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ทุกวัน
หากเปรียบสกิลภาษาอังกฤษที่พูดได้คล่องแคล่วเหมือนคนที่เป็นเจ้าของภาษา คือสมบัติ
ตัวคนที่พยายามเรียนรู้สกิลนั้นๆไปทุกวันโดยที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ก็ต้องเป็นโจรสลัดอย่างแน่แท้

นึกได้….ก็รู้สึกชื่นชมกับคนสร้างเรื่องราวโจรสลัดล่าสมบัติเหล่านี้ขึ้นมา ที่ทำให้เรื่องราวของโลกความจริงที่น่ากลัว กลายมาเป็นความน่าตื่นเต้นพร้อมกับกำลังท้าทายพวกผู้ใหญ่ผู้ที่มีจิตใจโจรสลัดได้ออกไปผจญภัยตามล่าหาสมบัติกัน

เอาใจช่วยให้ผู้ใหญ่ทุกคนที่มีหัวใจโจรสลัดได้เจอกับสมบัติในแบบของตัวเองเข้าสักวัน

(English translation) 

Children once loved pirate adventure cartoons with plots about treasure hunts, especially treasures whose appearance no one knew. They vividly remember enjoying these plots without much thought, rooting for the main characters to find the treasure.

As time passed, from children to adults, the tale of treasure hunting became just a children’s cartoon, teaching us that such treasures don’t exist in reality.

But… the old plot has resurfaced in our lives at this moment.

The pirate character searching for treasure isn’t someone far away but rather people like us who still believe in taking action without knowing if we will succeed.

For example, myself, who is learning English every day. If we compare fluent English skills, like a native speaker, to the treasure, then the person trying to learn these skills every day without knowing if they will succeed is definitely a pirate.

Reflecting on this, I feel admiration for the creators of these pirate treasure hunt stories. They turned the scary realities of the world into something exciting, challenging adults with a pirate spirit to embark on adventures to find their treasures.

Wishing all adults with a pirate heart to one day find their own treasure.

CategoriesLife NotesToday..what i learn

You got an Olympus OM-D E-M10 Mark IV: 1 unit.

อยู่ๆก็รู้สึกว่าอยากมีงานอดิเรกขึ้นมาสักอย่าง เพราะหวังให้งานอดิเรกมาช่วยให้เราไม่ต้องเคร่งเครียดกับงานกับการเรียนมากจนเกินไป เลยเป็นที่มาให้ได้ไปซื้อกล้องเพื่อเอาไว้ถ่ายทอดเรื่องราวมุมมองต่างๆที่เราอยากสื่อสารออกไป

หวังว่าภาพที่เราถ่าย จะมีคนชอบในสไตล์แบบนี้นะ…


(English translation) Out of the blue, I felt like I wanted a hobby, hoping it would help me not to stress too much about work and studies. This led me to buy a camera to capture and share different perspectives and stories that I want to tell.

I hope you will enjoy the photos in this style that i take!

CategoriesLife NotesToday..what i learn

อยากไปเกียวโต…

วันนี้นั่งเรียนกับครูสอนภาษาอังกฤษที่เป็นคนญี่ปุ่น เธอได้เล่าบอกเกี่ยวกับทางการญี่ปุ่น ที่จำกัดการก่อสร้างอาคารใหม่ในเมืองเกียวโต ให้ไม่มีขนาดสูงจนเกินไป และให้มีการจัดการตบแต่งร้าน ให้ไม่มีสีสันฉูดฉาดเกินไป เพื่อให้คงอัตลักษณ์ความเป็นเมืองเกียวโตไว้

(ดูภาพได้จาก 7-11 และ Starbuck จากเมืองเกียวโต)

มีครั้งหนึ่งผมได้ไปเมืองเกียวโต เลยเล่าเรื่องความประทับใจกับความตรงเวลาของรถไฟและรถบัส ที่มาตรงเวลาเสมอ เมื่อเทียบเวลากับหน้าเว็บไซต์ Expedia ในตอนนั้น

เธอจึงเล่าให้ฟังอีกว่า สิ่งที่เข้าใจนั้น มันไม่เป็นอย่างนี้ไม่ทุกเมือง อย่างเช่นเมืองที่เธออยู่ เพราะเมื่อรถไฟมาช้า จะไม่มีคน Complain มากเหมือนเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยอะอย่างเช่นเกียวโต เธอยังเล่าต่ออีกว่า ถึงขนาดมีวลีสอนเด็กหรือคนทำงาน “ว่าหากนัดกันไปไหน ให้ไปถึงก่อน 5 นาที” (เธอพูดภาษาญี่ปุ่นเป็นวลีคำนี้ให้ฟัง แต่ผมแกะภาษาญี่ปุ่นออกมา ไม่ออก)

พอคุยจบ ทำให้อยากไปเกียวโตอีกสักครั้งเลย…..


Today, I had an English lesson with a Japanese teacher. She told us about how the Japanese government limits the construction of new buildings in Kyoto so they aren’t too tall, and they manage the decoration of shops to ensure they aren’t too flashy, preserving the city’s unique character.

(You can see examples of this at the 7-11 and Starbucks in Kyoto!)

Once, I visited Kyoto and shared my experience of being impressed by the punctuality of the trains and buses, which always arrived on time compared to the schedule on Expedia’s website.

She then explained that this isn’t the case in every city. For example, in her city, if a train is late, people don’t complain as much as in big cities or tourist-heavy places like Kyoto. She also mentioned a phrase that teaches kids and workers, “If you have an appointment, arrive 5 minutes early.” (She said this phrase in Japanese, but I couldn’t quite catch it.)

After our conversation, it made me want to visit Kyoto again…

CategoriesLife Notes

INFJ : ผู้สนับสนุน

เคยมีความคิดว่าตัวเองแปลก ที่มีนิสัยอย่างที่เป็น เช่น ทำไมชอบเรียนรู้ ทำไมชอบทำนั่นนี่ ทำไมชอบคิดประยุกต์เอาเทคโนโลยีมารวมกัน ทำไมชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำไมชอบไปแชร์ความรู้ และอีกหลายๆอย่างความสงสัย ว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้

จนได้มาเจอกับเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับทำแบบสอบถาม ว่าคนแบบเรา หากเจอสถานการณ์ตามที่แบบสอบถามวางไว้ เราจะตอบกลับสถานการณ์ต่างๆนั้นอย่างไร แล้วก็ได้มาเป็น…
(ใครอยากลองทำแบบสอบถาม สามารถเข้าไปได้ที่ Link นี้ : https://www.16personalities.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E?fbclid=IwAR2t8h8mJJ4xe1nk-7RY1YMCIVS4jetyFH_a4Xx5aAA_s4swPp3_Xn-O8eE)

ความสนุกมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเราอ่านผลว่าคนประเภทนี้มีนิสัยอย่างไร ซึ่งก็ไปเจอ Youtube อยู่ช่องหนึ่ง ที่อธิบายคนประเภท INFJ ออกมาได้ดีเลย (ถูกใจมาก เนื่องจากตอนแรกคิดว่าตัวเราแปลก สรุปแล้ว เราเป็น INFJ นั่นเอง 555)

หลังดูจบทำให้ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ไม่มองว่าตัวเราเองแปลกเหมือนเดิม

ใครอยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน และอยากรู้ว่าสิ่งไหนเหมาะกับตัวเอง สามารถทำแบบทดสอบแล้วลองหาช่อง Youtube อธิบายลักษณะของคนแต่ละประเภทตามที่ได้ผลลัพธ์กันได้เลย

CategoriesLife Notes

2023: A Year of Thanks and Reflection

เมื่อตอนต้นปีใช้ชีวิตด้วยความเครียด เนื่องจากโปรเจคในตอนนั้น เป็นเหตุให้นอนดึก ตื่นไว ดื่มมากไป กินแต่มาม่า จนทำให้เจอเหตุการณ์ เกือบขิต หลังจากรู้ซึ้ง ถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว ทำให้ตัวเราตั้งสมมุติฐานกับตัวเองขึ้นมาว่า “หากมันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้ง เราจะทำยังไง” เลยเป็นที่มาให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติกับตัวเองในหลายๆเรื่อง เริ่มตั้งแต่

~เลิกดื่มของมึนเมา : ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากเกือบขิตคราวนั้น เป็นเหตุให้ตัวเองหันมากินแต่อาหารสุขภาพ ไม่ดื่มของมึนเมา จนสุขภาพจิต สุขภาพกาย เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

~ทำประกัน : อันนี้ไม่ต้องคิดมากเลย หากชีวิตขิตจริงๆ คนข้างหลังจะเป็นยังไงนะ คิดได้แค่นี้ ก็ทำเลย ที่สำคัญ มันลดหย่อนภาษีได้ด้วย

~ออกกำลังกาย : จากแต่ก่อน เวลาออกกำลังกาย จะต้องไปฟิตเนส ต้องจ่ายรายปี ต้องมีชุดพร้อม ต้องนั่นนู่นนี่ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จกับมันเลย ตัดมาที่ตอนนี้ ลุกมาเดินออกกำลังกายใกล้ที่พัก วันละ 5 km
จากที่เคยน้ำหนักปริ่มอยู่ที่ 90 kg ตอนนี้ลดมาเหลือ 72 kg ได้ รู้สึกตัวเบาไปเลย (ช่วงนี้พักก่อน ฝุ่นเยอะเลย)

~สื่อสารภาษากับชาวต่างชาติ : จากเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าเราจะสามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาอังกฤษได้ แต่ก็เรียนภาษาอังกฤษผ่านแอพฯ Doulingo ทิ้งไว้ ฝึกแล้วก็ฝึกอีก วันละ 10 นาที ทำมาได้ 3 ปี มาปีนี้กระโดดลงมาคุยกับเจ้าของภาษาทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ตอนนี้สื่อสารกับเจ้าของภาษาได้แล้ว ยังอึ้งกับตัวเองอยู่เลย ว่าสมองมันสลับ Mode สลับภาษาได้ยังไง

~สร้างวินัยให้ตัวเอง : ก่อนหน้า เรียนอะไรก็เอาแค่พอรู้ ความรู้ไหนที่รู้แล้วก็ทู่ซี้รู้ไปอยู่เรื่องเดียวไม่ยอมพัฒนาอะไรต่อเพิ่มเลย ครั้นพอจะเรียนอะไรเพิ่มสักหน่อย ก็เรียนครึ่งๆกลางๆ หรือไม่ก็เรียนไม่จบ

ปีนี้เจอวิธีปรับตารางเวลา สร้างวินัยให้ตัวเองสำเร็จ จนมันมีประสิทธิภาพ จากที่เคยใช้ชีวิตไปวันๆ ตอนนี้หันมา “focus” กับสิ่งที่อยากพัฒนาทีละเรื่อง บวกสร้างการจัดการชีวิตให้เป็น “sprint” กับ “แบ่งเวลาเป็น” หากวัดผลจาก Outcome คือเรื่องที่ฝึกสำเร็จ ตอนนี้ถือว่า Success ในระดับดีเยี่ยมเลยทีเดียว

เวลานี้มันสำคัญมากนะ หากงานประจำที่ทำ คือ 8×5 = 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ไอ้เวลาที่เราหามาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง มันจะอยู่ที่
3×5 = 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บวกเพิ่มจากวันเสาร์ อาทิตย์อีก วันละ 8 ชั่วโมง 2 วันก็ 16 ชั่วโมง

พอเอา 15 + 16 จะเท่ากับ 31 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นี่มันเท่ากับเราเกือบจะทำงาน Full time ในบริษัทแล้วนะ !!

-พัฒนาตัวเอง : ปีนี้เสียเงินให้กับเรื่องการพัฒนาตัวเองไป เทียบเท่ากับการเสียเงินเรียนระดับ ป.ตรี ไปแล้วครึ่งนึง เชื่อว่าหากยังพัฒนาไม่หยุด จากคนระดับ อบต. น่าจะพอเข้าไปแข่งระดับโอลิมปิกกับเขาได้บ้าง

ปีนี้ดีขนาดนี้แล้ว ขอพลังคุณจักรวาล เทวดาประจำตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ปีหน้าดียิ่งๆขึ้นไป 10 เท่า 100 เท่าไปเลยนะ

555+

Don’t let the outer noise keep you from hearing your inner music.

–Tutor Joane : My english teacher.
CategoriesLife NotesToday..what i learn

Kodawari : ความสุข..จากการใส่ใจในสิ่งที่ทำ

นั่งฟังเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า “Kodawari” จากอาจารย์เกตุ (ผศ. ดร.กฤษตินี พงษ์ธนเลิศ) แล้วมีความรู้สึกว่ามันช่วย Heal ใจได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนจะอธิบายว่ามัน Heal ใจได้อย่างไร ขอเล่าก่อนว่าคำว่า Kodawari มันความหมายว่าอย่างไร

คำว่า “โคดาวาริ” (Kodawari) ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ความแน่วแน่ในการทำบางสิ่งบางอย่างให้ออกมาดีที่สุด ซึ่งรวมถึงความพิถีพิถันและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้งานที่ทำนั้นออกมาดีเลิศที่สุด หากให้เปรียบเทียบตามความเข้าใจ ผมคิดว่าคงจะเหมือนกับหลักของ “มรรค ๘” ในศาสนาพุทธที่สอน โดยเฉพาะในหัวข้อ สัมมาอาชีวะ (มีอาชีพสุจริต) และ สัมมาวายามะ (มีความขยันหมั่นเพียร) เพื่อช่วยให้งานที่เราทำนั้น ออกมาดีเลิศ

ความประทับใจจาก ตัวอย่างที่อาจารย์ผู้บรรยายยกมา คือมีคนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นโรคสมาธิสั้น ไปทำงานที่ไหนก็ทำไม่ทน จนทำให้ตัวเองโดนไล่ออก จึงพยายามค้นหา ว่า “คนที่เป็นโรคนี้แบบเราเนี่ยะ ทำอะไรถึงจะดีนะ” จนได้มาเจอกับศิลปะ

จากการที่เขาคลุกอยู่กับศิลปะ และคิดว่าใช้เวลากับมันได้ดี มีสมาธิกับมันได้นานๆ ประกอบกับชอบในสิ่งนี้ จึงทำให้เขาเลือกที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ

เขาเริ่มทำการสร้างศิลปะจากใบไม้ โดยการเอามีดคัตเตอร์มาแกะสลัก มากรีดให้เป็นลวดลายต่างๆ จนเริ่มมีคนชอบและขอซื้อ !!!! (ใบไม้ ที่ไม่ได้ขายได้เฉพาะใบกระท่อมและใบหูกวาง) “สามารถค้นหา ศิลปะของคนๆนี้ได้ โดยค้นจากคำว่า lito leaf art หรือเข้าไปที่ Instragram และค้นหาได้ที่ Account : @lito_leafart”

กับอีกหนึ่งความประทับใจคือคำว่า “Slow Success” ที่ฟังแล้วรู้สึกดี เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในสื่อที่มุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จระยะสั้น หรือมองหาแต่การทำให้ได้มาซึ่งเงินที่มากขึ้น รวมถึงต้องสำเร็จให้ไว แต่ไม่มีใครเลยที่มุ่งอยากจะเล่นเกมส์ยาว หรือเป็นคนที่อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้สึกดีๆ ที่เราพบเจอกับแต่ละช่วงของชีวิตและมองหาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัวเรา ที่มาพบเจอและร่วมงานกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอได้ฟังเรื่องนี้จึงประทับใจมาก

หลังนั่งฟังจบ ก็กลับมาทบทวนกับตัวเองว่าตอนนี้เราใส่ใจในงานที่เราทำได้ดีหรือยัง หรือยังมีสิ่งไหนในงาน ที่เราสามารถพัฒนามันได้มากขึ้นอีกเพื่อที่งานมันจะได้ดีขึ้น โดยมองที่ประโยชน์และความสุขของทีมเป็นหลัก หลังคิดได้ก็ได้คำตอบกลับมาว่า “นี่เรายังทำสิ่งดีๆได้อีกเยอะเลยเนอะ….”