มีความตั้งใจอยากลงเรียนที่ Coursera เพราะว่าเป็น Platform Online Learning ที่ดังและมีชื่อเสียง แถมหากเรียนที่นี่จบ ยังได้รับ Certificate เพื่อเอาไปประกอบการสมัครงาน หรือนำไปใช้ติดสไลด์ประกอบการบรรยาย ว่าเราเป็นผู้ที่ผ่านการลงเรียนในเรื่องนั้นมาแล้วจริงๆได้อีก
จากความตั้งใจเดิม คือจะเก็บเงินเพื่อไป Take Course รายปีของที่นี่ ราคาตกอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นกว่าบาท หากหารเป็นเดือน ก็จะตกเดือนละพันนิดๆ แต่พอคิดๆดู ก็ยังไม่กล้าที่จะเสี่ยงเอาเงินหมื่นไปลง แล้วไม่รู้เราจะเรียนไหวมั้ย เพราะเป็นภาษาอังกฤษล้วน (แต่ตอนนี้มีบรรยายภาษาไทยแล้ว) และก็ยังไม่รู้อีกว่าจะมีรูปแบบการสอนจะเหมือนหรือแตกต่างจาก Udemy , Linkedin Learning อย่างไร
แล้วจู่ๆ ก็ไปเจอ Post จาก Future Trends ว่าทาง Coursera จัดโปร จ่าย 1 เหรียญ เรียนไม่อั้น ตลอดระยะเวลา 1 เดือน หลังอ่านเจอแล้วก็กดสมัคร แล้วจ่ายเงินไปเลยทันที ไม่ต้องคิดอะไรอีกใดๆ กะว่าหากเข้าไปเรียนแล้ว จะเก็บเอา Certificated มาประดับ Profile ซัก 3-4 ใบ เรียนมันไปให้คุ้มเลย 5555
ในความเป็นจริง หลังจ่ายเงินและเข้าเรียนเสร็จ รูปแบบการเรียนก็ถือว่าไม่แตกต่างกับเรียนใน Platform อื่นๆมากนัก แต่ที่เห็นว่าแตกต่างเลยจริงๆเลยก็คือ
1.ทุกบทเรียน มีเทส
ในแต่ละวิดีโอที่เราดูไป หลังดูจบ จะมีเทสขึ้นมาให้เราตอบเพื่อเป็นการทบทวนความรู้ในหลายๆหัวข้อ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเลย เพราะช่วยให้เราตั้งใจกับการเรียนมากขึ้น หากระหว่างเรียนมีการเขียน Note เก็บไว้ จะช่วยทำให้การทดสอบตรงนี้ง่ายขึ้นมาก
สำหรับคนที่มีคำถาม ว่าหากระหว่างที่เราทำเทส แล้วเราทำผิดหล่ะ ตรงนี้จะทำยังไง
ต้องตอบไปเลย ว่าเว็บนี้ให้ผิดได้ไม่อั้น อยู่ที่ว่าคุณทำคะแนนได้ถึงขึ้นต่ำที่เขาต้องการไว้หรือไม่ เช่น
-บางหัวข้อ ต้องการให้คุณทำคะแนนได้ถึง 80%
-บางหัวข้อ ต้องการให้คุณทำคะแนนได้ถึง 100%
-บางหัวข้อ ต้องการให้คุณทำคะแนนได้ถึง 100% รวมถึง หากคุณตอบผิดไม่ถึงเป้า คุณจะต้องรอเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนจะเข้าไปสอบใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง !!!
ในมุมมองคนเรียน แล้วเห็นระบบการทำงานอะไรที่ไม่เหมือนกับที่เราเคยเรียนมา ก็รู้สึกว้าวกับตรงนี้เหมือนกันนะ หรือหากเราอยากทำ Platform เกี่ยวกับ Corse Online ขึ้นมา เอาความรู้ตรงนี้ไปปรับใช้ ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดีเช่นกัน
2.ในแต่ละ Week มี Assignment
นอกจากจะมีเทสที่เราทำไปในแต่ละบทเรียนแล้ว ตัว Platform ยังมอบหมายงานให้เราทำด้วย
อย่างหัวข้อที่เรียนมาจะเป็นหัวข้อ Introduction to Software Testing ก็จะมีมอบหมายงานเกี่ยวกับการเขียน Test Case ด้วยภาษา Java ให้ครอบคลุมกับโจทย์ที่เขาให้มา โดยมี Code ตัวอย่างมาให้เราดู หน้าที่ของเรามีแค่ แก้ไข Code ให้มันทำงานให้ถูกและดี อย่างที่ควรจะเป็น โดยมีวิธีการติดตั้งเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละ OS , Version ของ Java ที่ต้องการ หลังจากนั้นก็ส่ง Code ไปให้ Platform นี้ตรวจ
โดยหน้าจอการสั่งงานก็จะประมาณภาพด้านล่างนี้
หากทำงานที่สั่งให้เสร็จแล้ว ก็ไปที่ Tabs My Submissions เพื่อส่งงานและรอดูผลกันได้เลย
ความเจ๋งของ Platform นี้อีกหนึ่งอย่างนั่นคือ เมื่อผู้เรียนส่ง Code ไปให้กับทางระบบ หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่นาที ตัวระบบก็แจ้งกลับ ว่า Code ที่เราส่งไป ได้คะแนนเท่าไหร่ หากมีสิ่งอะไรที่ขาดหรือผิดพลาดไป ก็จะแจ้งกลับมาตามภาพด้านล่างเลย
ตรงนี้หากคิดอยากทำ Platform เกี่ยวกับ Corse Online ก็ต้องคิดเพิ่มแล้วหล่ะ ว่าจะใช้ Features อะไร เพื่อนำมาใช้ตรวจสอบ Code ที่นักเรียนส่งเข้ามาได้ (ChatGPT API , CoPilot API ?)
3.ให้แต่ละผู้เรียน ทำการให้คะแนนผู้เรียนคนอื่นๆด้วยตัวเอง
ต่อจากหัวข้อที่เรียน มันมีงานนึงจะต้องเขียน Test Plan ขึ้นมา ในโจทย์ก็จะมีไฟล์ตัวอย่างมาให้ 3 Files ดังนี้
-ตัวธุรกิจที่เรากำลังจะเขียน Test Plan ว่ามีรูปแบบการทำงานอย่างไร
-ตัวอย่าง Test Plan ที่เอาไว้ดูเป็นตัวอย่าง
-Test Plan Template
หัวข้อนี้เหมือนจะไม่มีอะไรมาก คือให้อ่านให้มาก แล้วก็เขียนแผนออกมา แค่นั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องผิดหรือถูก แต่ที่กังวลมากที่สุด คงจะเป็นเรื่องภาษาอังกฤษนี่แหล่ะ ที่เราจะเขียนยังไงดีว้า เขาจะให้คะแนนเรามั้ยนะ (^____^”)
ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือว่าติดอยู่ตรงหัวข้อนี้นานพอสมควร จนเกือบถอดใจไปเลย
แต่พอผ่านมาได้ กลั้นใน จากนั้นก็ Upload File Test Plan ของเราขึ้นไปให้เพื่อนๆตรวจกัน
จังหวะการตรวจที่กังวลไว้ตั้งแต่แรก ว่าเราจะโดนตรวจอย่างไร ก็คลายกังวลเมื่อเราส่งงานไป
หลังจากส่งงานเราจะได้รับหน้าที่การตรวจคนอื่นๆไปด้วย ในที่นี้เราจะได้เห็น Test Plan ในหัวข้อนี้ที่คนอื่นเขียนมาและส่งเข้ามาในระบบเยอะแยะเลย ทำให้คิดได้ว่า หากรู้แบบนี้ คงจะส่งแบบง่อยๆไปก่อน แล้วค่อยไปลอกเพื่อนตอนตรวจก็ได้ 555
วิธีการตรวจก็ไม่ยากมาก ทางระบบ เขาจะเตรียมวิธีการตรวจมาให้เราช่วยตรวจสอบ หน้าที่ของเรา มีแค่ตรวจสอบว่าใน Test Plan ที่ส่งกันเข้ามา มีหรือไม่มีสิ่งไหน
หรือในความคิดของเรา เราคิดว่าส่วนไหนใน Test Plan นี้คือจุดแข็งของเขา ก็สามารถเขียนลงไปเพื่อบอกผู้เรียนคนอื่นๆได้
ต้องบอกว่าตรงจุดนี้แอบว้าวกับ QA Engineer จากอินเดียหลายคนมากๆ ที่ทำ Test Plan ออกมาได้สวยมาก
มีใส่ Metric UI ตารางต่างๆเข้ามา พอเห็นแล้วก็ได้แต่ชื่นชม
4.มี MiNi Project ให้ทำก่อนจบ
หลังจากเรียนมาจนครบทุกหัวข้อ มาที่หัวข้อสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการเขียน Code Test Script ให้ครอบคลุม เหมือนกับหัวข้อแรก แต่ในที่นี้มี Tools มาให้ใช้ร่วม รวมทั้งหมด 3 ตัว โดยเราต้องเขียน Script ทั้งหมด 3 Script และส่งให้ Platform นี้ตรวจ
ส่วนตัว คิดว่าส่วนนี้คือส่วนที่ทำยากที่สุด บางคนที่เรียนพร้อมๆกัน ส่งมากกว่า 20 ครั้งถึงจะผ่านหัวข้อนี้เลยก็มี !!!!
หลังผ่านการเรียนมา 3 สัปดาห์ และความคาดหวังว่าจะเอา Certificate จากเว็บนี้ไปเยอะๆ ด้วยทุน 1 เหรียญ กลับพบว่า มันก็ไม่ง่ายแบบเปิดฟังให้จบแล้วจะได้ Cert เลยน้า (^____^”)
ยิ่งพอเรียนคอร์สนี้แล้วกลับทำให้เราหันมาทบทวนเลย ว่าเรายังจำเป็นจะต้องเรียนเพื่อหวัง Cert จริงดิ 5555
ก่อนจบไปถือว่าประทับใจกับ Platform นี้มากๆ ช่วยเปิดจินตนาการการเรียนไปอีกขั้น และก็ทำให้รู้มากขึ้นไปอีก ว่า Platform ที่ให้บริการคนทั้งโลกนั้น ทำงานกันอย่างไร
=============================================================================
และในที่สุดก็ได้รับ E-Mail แจ้งเตือน ว่ายินดีด้วย คุณได้ผ่านหลักสูตร !!
https://coursera.org/share/64f50ffcefa0f6a78799b9df28bcad3e
ภูมิใจไม่รู้จะภูมิใจยังไง ที่ได้ Cer ใบนี้จาก Coursera มาได้
เพราะตอนเรียนนั่งเรียนจริงๆจังๆ นั่งแก้ Code , เขียน Test Plan เป็นเรียงความภาษาอังกฤษ
ถึงขนาดเริ่มท้อใจ ว่าเราจะเรียนไปต่อทำไมน้า เสียเงินลงเรียนไปแค่ 1 เหรียญ ปล่อยๆไปเถอะ
ลองคิดเหมือนกันว่าหากไปลงเรียนแบบเทคคอร์สรายปี เสียเงินเป็นหลักหมื่น แล้วเรียนได้ไม่กี่คอร์ส
หรือลงเรียนคอร์สแล้วเรียนไม่จบ (เพราะมันยากตรง Assignment + Mini Project)
ตอนนั้นจะเป็นยังไงนะ คงจะต้องมานั่งบ่น คิดเสียดายเงิน เป็นแน่แท้
555
ต่อไปคงต้องทบทวนตัวเองอีกที ว่านี่เราจะเรียนเอา Cer แบบแค่เรียนๆไปนั่งเรียนทั่วๆไปก็พอขอให้ได้ความรู้
หรือเรามาเอา Cer แบบกิจลักษณะ ที่ต้องทำการบ้าน ส่ง Project ทำ MiniProject แบบนี้อีกทีดี
แต่ที่รู้แน่ๆตอนนี้ พักก่อน (^_____^)
“The beautiful thing about learning is that no one can take it away from you.”
— B.B. King