ตอนที่เริ่มเรียน Duolingo ใหม่ๆ ผมตั้งใจว่าจะเรียนให้ได้ประมาณวันละ 10 นาที เพราะหากว่านานกว่านั้น ผมคงจะเบื่อเกินไป ! ช่วงแรกที่เล่น ก็ไม่เน้นหาคำศัพท์ใหม่ เน้นเรียนแต่บทเรียนเดิมๆ ให้ได้คะแนนเร็วๆ ง่าย เพื่อให้ตอนสุดท้ายเมื่อจบสัปดาห์ กลายมาเป็นที่ 1 (หากอยู่อันดับที่ดี ก็จะเลื่อนไปถ้วยรางวัลลำดับถัดไป แต่ละลำดับก็จะมีคนแข่งขันกัน ว่าใครจะเป็นคนลำดับสูงที่สุด)
3 ปีผ่านไป เพียงวันละ 10 นาที ทักษะการฟังภาษาอังกฤษก็ดีขึ้นจนรู้สึกได้
จากการเรียนเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน คำศัพท์ที่ผมสะสมมาได้ในช่วง 3 ปีนี้ ใน Doulingo จะบอกผ่านแอพฯ ว่าตอนนี้คุณมีคำศัพ์ที่เรียนไปแล้วประมาณ 2,000 คำ ซึ่งอาจฟังดูไม่เยอะเมื่อเทียบกับคนที่เรียนแบบจริงจัง แต่ที่รู้สึกในช่วงนี้คือ ทักษะการฟังของผมมันดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว!
เมื่อก่อนฟังภาษาอังกฤษแล้วมีความรู้สึกเหมือนเราฟังเพลง Rap หรือ Hiphop ที่มันฟังแล้วรู้ว่านี่เพลง Rap เพลง Hiphop นะ หรือนี่คือภาษาอังกฤษนะ แต่ไม่รู้ว่าคำๆนั้นที่กำลังฟัง เขาพูดว่าอะไร
แต่ตอนนี้…เมื่อมีโอกาสได้ฟังภาษาอังกฤษผ่าน Youtube หรือ Online Course ต่างๆ มันจะมีความรู้สึก “แอ๊ะ อ๋อ..” เช่น ตอนนี้เรารู้ว่าผู้พูดกำลังพูดคำว่าอะไรบ้าง จากทั้งประโยคได้ประมาณ 40% เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก มันก็เพิ่มเป็น 50-70% ราวๆนี้ หรือเวลาเจอฝรั่งนอกสถานที่แล้วมาถามคำถาม ช่วงนี้สามารถตอบกลับไปสั้นๆได้บ้างแล้ว (แค่นี้ชีวิตก็ดีใจแล้ว จากที่คิดว่าจะไม่มีโอกาสสนทนาเป็นภาษาต่างชาติได้แล้วในชาตินี้)
ตอนนี้เริ่มจับทริคได้แล้วว่า การจะเริ่มเรียนรู้อะไร มันไม่ได้อยู่ที่การเรียนเยอะๆ ในครั้งเดียว แต่มันคือการทำมัน “ทุกวัน” จนสมองเริ่มคุ้นเคยกับเสียงและจังหวะภาษานั่นเอง
2 เคล็ดลับสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษให้ดี
- ต้องมีคลังคำศัพท์มากกว่า 2,000 คำ
การมีคำศัพท์พื้นฐานที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวันมากกว่า 2,000 คำ จะช่วยให้เราเข้าใจการสนทนาในระดับทั่วไปได้
Duolingo ช่วยได้เยอะในเรื่องนี้ เพราะมันสอนคำศัพท์ที่จำเป็นและใช้ได้จริง มีหลายรูปประโยคและวิธีการสนทนาให้ได้พูดตามที่เรียนผ่านแอพฯ (ช่วงแรกที่ต้องพูดตามแอพฯ แล้วรู้สึกอายม้วนต้วนมาก มาตอนนี้หรอ ไปไหว้พระยังพูดกับ Doulingo เลย 555)
- ฝึกฟังให้จับใจความได้
การเรียนผ่าน Duolingo ไม่ได้แค่เพิ่มคำศัพท์ แต่ยังช่วยฝึกทักษะการฟังด้วยเสียงจากเจ้าของภาษาที่หลากหลาย
นี่คือสิ่งที่ Duolingo พาผมมาถึงระดับนี้: ฟังเข้าใจพื้นฐาน แม้ยังอาจไม่ใช่การแปลขั้นเทพ
แล้วถ้าเรียนวันละ 30 นาทีล่ะ?
จู่ๆ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี่ขนาดเรียนวันละ 10 นาที มาเป็นเวลา 3 ปี เรายังฟังได้เทพขนาดนี้ ถ้าหากว่าปรับไปเรียนวันละ 30 นาที นี่ไม่เก่งไปตั้งแต่ปีแรกเลยหรอกเหรอ”
คำตอบคือ… แน่นอนว่ามันช่วยได้
ถ้าคำนวณง่ายๆ การเรียนวันละ 30 นาทีใน 1 ปี จะเท่ากับการเรียน 3 ปีแบบเดิม!
แต่ที่มากกว่านั้นคือ เราจะได้ฝึกฟังเสียงมากขึ้น บ่อยขึ้น และซึมซับจังหวะภาษาดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้น
แต่…
ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่เวลา แต่มันอยู่ที่ “ความสม่ำเสมอ”
ถ้าเพิ่มเป็น 30 นาทีแต่ทำได้แค่ 1-2 เดือนแล้วเลิก แค่จะจับแอพฯมาเรียนแล้วเครียด เรียนไปมันก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับการเรียนทุกวัน วันละไม่กี่นาทีอย่างต่อเนื่อง
สรุป…
ถ้าเรามีเวลาและพลังใจมากพอ การเรียน Doulingo วันละ 30 นาทีจะช่วยให้เราเก่งเร็วขึ้น 10x🚀
แต่ถ้าชีวิตเรายุ่งเหยิง เหมือนเล่นเกมส์ออนไลน์ ที่จบงานนั้น แล้วต้องไปต่องานนี้ (มีแต่เควสรอบตัว) การเรียนวันละ 10 นาทีก็ยังเป็นวิธีที่ดีในการสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ
สุดท้ายแล้ว…
มันไม่สำคัญว่าเราเรียนวันละกี่นาที แต่อย่าหมดหวังกับการเรียนภาษา เพราะภาษาคือทักษะที่ต้องใช้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อเถอะว่า เมื่อภาษาคุณดี อะไรๆก็ดีตาม เปรียบกับน้องเด็กเสิร์ฟคนหนึ่ง ถ้าหากน้องเขาไม่ได้ภาษา น้องคงจะอยู่ได้แค่ร้านอาหารทั่วไป แต่หากน้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ภาษานั้นอาจเป็นใบเบิกทาง พาน้องเข้าไปทำงานอยู่ในโรงแรมใหญ่เลิศหรูได้
จบการรีวิวการเรียนภาษาอังกฤษ ตอนที่ 1/5
ไว้ตอนต่อไปจะมาเล่าประสบการณ์ ว่าผมไปเรียนอะไรต่อเพื่อให้ภาษาอังกฤษผมพัฒนายิ่งขึ้น
แล้วมาติดตามกันครับ…