CategoriesEnglish...My Practiced

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 6,000 นาที (6 เดือน)

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 6,000 นาที

หลังจากที่เรียนภาษามาเป็นเวลา 6 เดือน ในตอนนี้มีความมั่นใจกับการพูดมากขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะยังพูดได้ไม่ถูกหลัก หรือยังพูดโดยใช้คำศัพท์ผิดอยู่ แต่โดยรวมยังถือว่ามั่นใจดี

ระหว่างเรียนพยายามหาเทคนิคอะไรให้ประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในระหว่างเรียน อาจารย์ชาวต่างชาติก็ได้บอกกับตัวผมมาว่า “คุณน่าจะฟัง Podcast หรือดูซีรีย์เพิ่มนะ มันจะช่วยให้คุณเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น” พอมีใครมาบอกอะไรให้ผมแบบนี้ ส่วนตัวก็เชื่อคนง่ายอยู่แล้วและเชื่อว่าดี จึงขอลองดู

เริ่มต้นที่การดูซีรีย์
ส่วนตัวผมเลือกเอาซีรีย์เรื่อง Friends ซีรีย์เรื่องดังที่ครูหลายคนแนะนำ

เพราะชอบในเนื้อเรื่องที่ไม่ซีเรียส และที่ชอบอีกอย่างคือเจนิสเฟอร์ อนิสตัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นซีรีย์เบาสมอง ดูสนุก เหมาะกับการเรียนรู้ศัพท์การพูดในชีวิตประจำวัน คำพูดที่ใช้ก็ไม่ได้ยากหรือง่ายจนเกินไป เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้เรื่องภาษาอังกฤษมาสักระยะหนึ่ง

แม้ว่าทางเลือกการเรียนแบบนี้จะดี แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่สามารถหาเวลาว่างนานๆ มานั่งดูให้เป็นกิจลักษณะได้ เลยพับโครงการการนั่งดูซีรีย์ไป……

มาต่อกันที่การฟัง Podcast
อันนี้เป็นแนวทางที่กำลังทำอยู่ คือเปิด Podcast ฟังระหว่างขับรถ หรือระหว่างการทำงาน โดยช่องที่ฟัง เป็นช่อง “Listenning Time” ของ Spotify ความชอบส่วนตัวที่มีต่อช่องนี้ คือผู้พูดใช้การพูดที่ช้า และมีความหลากหลายในหัวข้อที่พูด จึงทำให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆไปในหลายหัวข้อ

ช่องนี้เหมาะสำหรับคนที่มีระดับภาษาอังกฤษตั้งแต่ A2 – B2 ที่ไม่สูงมาก และอยากฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น ซึ่งส่วนตัวที่ได้ลองฟัง คิดว่าดีมากๆเลย

มีอยู่หัวข้อหนึ่งในช่องนี้ ได้พูดถึงปัญหาการเรียนที่พบเจอในผู้เรียนภาษาอังกฤษ ที่มักประสบความสำเร็จในช่วงแรก หรือมองเห็น Progress ที่มันเพิ่มขึ้นในช่วงแรก หลังจากนั้นกลับคิดว่าภาษาของตัวเองไม่ดีขึ้น ซึ่งครั้งแรกที่อ่านชื่อหัวข้อนี้มันตรงกับตัวผมเองเลย เพราะทุกวันที่เรามาคุยกับคุณครู เราเหมือนไม่พัฒนาขึ้นเลย

ในหัวข้อนั้นก็บอก Tips ที่เหมือนไม่สำคัญแต่สำคัญมาก นั่นคือฟังให้บ่อย ใช้ให้บ่อย แล้วมันจะดีเอง

ในตัวอย่าง ผู้พูดแจ้งว่า มีนักเรียนคนหนึ่ง ฟัง Podcast ตอนละ 25 นาที เขาฟังตอนเดียวกันนั้น 4 รอบ และใช้เวลา 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลังจากนั้นทักษะด้านภาษาของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก

ย้อนกลับมามองตัวเอง ผมเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองผ่านการใช้งาน App Doulingo ในมือถือวันละ 10 นาที เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นผมเริ่มรู้สึกว่า “ผมฟังภาษาอังกฤษได้” พอมาคิดดูดีๆ ว่าถ้าหากผมเพิ่มเวลาการเรียนขึ้นมาสักหน่อย เป็นวันละ 30 นาที ผมอาจจะลดเวลาการเรียนอังกฤษ จนเข้าใจภาษาอังกฤษได้ ภายในระยะเวลา 1 ปีก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ฮ่าๆๆ

ตอนนี้ ใช้การฟัง Podcast เพื่อจดจำวิธีการใช้ศัพท์และทักษะการฟัง จากนั้นเอามาประยุกต์ใช้กับการพูดใน Platform Engoo แล้วพึงพอใจ คิดว่าจะทำต่อไปจนกว่าจะทำได้ดี…

จบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้

ขอบคุณครับ

CategoriesEnglish...My PracticedToday..what i learn

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 2,000 นาที

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 2,000 นาที

เป็นอีกเดือนที่ลังเลว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะหลังจากเรียนไป 1 เดือนทำให้รู้ว่าเรามีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับภาษาอังกฤษอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะ Pronunciation และ Grammar แต่ก็นั่นแหล่ะ Safezone ไม่เคยทำให้ใครเติบโต เลยทำให้ยังเลือกเรียนไปต่อ ทั้งๆที่รู้ว่าเราพูดผิดนั่นแหล่ะ แต่ก็ยังจะพูดต่อเพราะหวังว่าจะจดจำศัพท์จากการใช้งานจริงได้มากขึ้น

ลองถามอาจารย์บางท่าน ว่าหากเลือกจะปรับปรุงก่อนเพียงหนึ่งอย่างในช่วงเวลาที่มีจำกัด หากต้องเลือกระหว่าง การปรับปรุงภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ pronunciation กับ grammar ผมควรเลือกปรับปรุงอะไรก่อนดี

อาจารย์ต่างชาติท่านนั้นแนะนำผมมาว่า ผมควรฝึกภาษาในส่วนของ Pronunciation ให้ดีก่อน เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ชาวต่างชาติเข้าใจในสิ่งที่คุณสื่อได้มากขึ้น มากกว่าการที่คุณรู้ grammar แต่ pronunciation ของคุณไม่ดี

อาจารย์ท่านนั้นยังเสริมอีกด้วยว่า grammar คุณไม่จำเป็นต้องเรียนครบทุก grammar ขอเพียงรู้แค่ simple present , simple pass , simple future เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการสื่อสารแล้ว หากเราคล่องเรื่องพวกนี้ ค่อยไปศึกษาในเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมได้ เพราะตอนนี้คุณก็สื่อสารมันออกมาได้แล้ว

จากปัญหาที่เจอระหว่างการเรียนคือบางคำศัพท์ เราไม่เข้าใจ ทำให้ขาดความเข้าใจในบางวลีที่มีการพูดคุยกันยาวๆ เลยเป็นที่มา ว่าเราจะหาตัวช่วยมาแก้ปัญหานี้อย่างไรดี จนมาเจอกับ Office Word 360 ที่มีความสามารถในการฟังเสียงและเขียนลงไปที่หน้าจอของโปรแกรมแทบจะในทันที ตัวช่วยนี้ ช่วยทำให้การฟังภาษามีความสะดวกมากยิ่งขึ้นในการเรียน

และนอกจากที่ Microsoft Word 360 จะสามารถอัดเสียงและเขียนเป็นภาษาให้เราอ่านเข้าใจได้แล้ว ตัวมันเองยังมีความสามารถในการแปลภาษาจากเอกสารให้กลายเป็นภาษาที่เราต้องการได้ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพที่ทำให้การเรียนภาษานั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น หลังเรียนจบทุกๆครั้งไปแล้ว การหาเวลากลับมาทบทวนในแต่ละครั้งที่เราเรียนไป ว่าคุณครูแต่ละท่านพูดอะไร และทำไมเราจึงตอบแบบนั้นออกไป ก็เป็นการทบทวนการเรียนรู้ที่ดี และหากเราจินตนาการเสริมไปอีก ว่าหากว่าเราสามารถตอบกลับคุณครูท่านไปใหม่ได้อีกครั้ง เราจะเลือกใช้คำว่าอะไรตอบกลับไปดี ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดียิ่งขึ้น

ก็รู้แหล่ะว่าการจะได้มาซึ่งทักษะทางด้านภาษา ไปจนถึงพูดได้คล่องแคล่วจนเหมือนเจ้าของภาษาได้ จะต้องใช้เวลาในการศึกษานานมาก แต่การที่เราพยายาม Optimize วิธีการให้ดียิ่งขึ้น ทบทวนให้มากขึ้น มันก็น่าจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้นตามไปด้วยนี่นา จริงมั้ย

ตอนนี้ตั้งเป้าว่าอยากจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ สัก 1 ปี แล้วจะย้อนกลับมาบอกกับโพสต์นี้อีกที ว่าเราเดินมาไกลจากโพสต์นี้ แค่ไหนแล้ว

ขอสวัสดีล่วงหน้ากับคุณตัวผมเองในอนาคตเลยแล้วกัน ตอนนั้นภาษาของคุณ น่าจะดีกว่าผมในตอนนี้มากๆ ผมเชื่ออย่างนั้นเลยครับ

CategoriesEnglish...My PracticedToday..what i learn

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 1,000 นาที

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 1,000 นาที (40 ครั้ง ครั้งละ 25 นาที)

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งคุยกับฝรั่งหรือชาวต่างชาติแบบตัวต่อตัวเป็นเวลานานๆได้ เพราะที่ผ่านมา เวลาจะเรียนออนไลน์กับชาวต่างชาติหรือดูหนังอะไรผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ก็จะเปิด Subtitle เป็นภาษาไทยเพื่อดูตลอด เพราะว่าไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที ว่าชาวต่างชาติสื่อสารอะไร

จนอยู่ๆก็ได้ทักษะการฟังภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจ มาเป็นทักษะติดตัว แม้ว่าจะไม่ถึงกับ 100% เป๊ะก็ตาม

การฟังภาษาอังกฤษ และเข้าใจในที่นี้หมายถึง เวลาที่ตัวผมฟังชาวต่างชาติพูด หรือสนทนาในหัวข้อทั่วไป ในชีวิตประจำวัน ผมจะเข้าใจทันทีเลยว่าคู่สนทนา กำลังสื่อสารอะไร อีกหัวข้อหนึ่งที่ผมเข้าใจในทันทีเลยก็คือ หัวข้อเกี่ยวกับ IT , Programing ที่เมื่อเวลาฝรั่งพูดอะไรมาก็ตาม ผมจะเข้าใจได้ว่าเขาสื่ออะไร แต่หากเป็นหัวข้อของบทสนทนาอื่นๆ ผมอาจไม่เข้าใจได้ เพราะคลังคำศัพท์อาจมีไม่มากพอ

ที่จริงกว่าที่จะเข้าใจภาษาได้ทันทีนั้น ตัวผมเอง ฝึกเรียนรู้การอ่าน การเขียน การฟังมาสักระยะ จนมาจริงจังกับการเรียนผ่านแอพลิเคชั่น duolingo มาเป็นระยะเวลา 1200 กว่าวัน ซึ่งผมคิดว่าในแอพฯนั้น ช่วยเรื่องคำศัพท์และ sentence , grammar ผมได้มากๆ เพราะมันทำให้ผมต่อยอดสามารถไปฟังหลักสูตร Udemy , Linkedin Learning หรือช่องออนไลน์อื่นๆได้ต่อไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม ทักษะต่างๆเหล่านั้น มันคือทักษะการนำเข้าซะเป็นส่วนใหญ่ การใช้ทักษะการส่งออกของผมนั้นคือแทบไม่ได้ใช้เลย (ทักษะการนำเข้าข้อมูล หรือ การอ่าน การฟัง ส่วนทักษะการส่งออกข้อมูล หรือ การพูด การเขียน)

กลับมาที่ความรู้สึกหลังผ่านการพูดคุยกับชาวต่างชาติผ่าน 1,000 นาทีแรกไป……

วันแรกและสัปดาห์แรก เป็นสัปดาห์ที่ยากที่สุด นั่นก็เพราะ เวลาที่ชาวต่างชาติ พยายามสนทนากับเรา เราไม่สามารถตอบเขาได้ในทันที ทำให้เสียเวลาไปกับการ คิดว่าต้องตอบยังไง , เราจะต้องใช้ศัพท์อะไรตอบกลับไป ทำให้ทุกครั้งที่เรียน รู้สึกหนักเกินไป (ฉันมาทำอะไรที่นี่)

เมื่อสัปดาห์แรกผ่านไป เริ่มรับรู้แล้วว่าเรามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น sentence , pronunciation , grammar (ไหนว่าเรียนผ่าน Duolingo แล้วเข้าใจ 555) สัปดาห์ที่สอง จึงเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ยากเช่นกัน เพราะเรารู้ในข้อผิดพลาดแล้ว และคิดว่าเราควรไปปิด Gap เหล่านั้นด้วยตนเองก่อน ก่อนที่มาเรียนในช่องทางนี้

จนมาเจอกับครูในช่องทางนี้แหล่ะ แนะนำว่า “คุณไม่ต้องกังวลเลย ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาแม่คุณ คุณพูดออกมาได้เลย ไม่ต้องอายที่จะผิด ฉันเข้าใจได้” หลังจากนั้น ความคิดที่มีต่อภาษาอังกฤษก็เปลี่ยน เน้นการสื่อสารออกไปในทันที ไม่อายที่จะใช้ศัพท์ผิด เพราะเมื่อคุณใช้ศัพท์ผิด อาจารย์จะช่วยคุณแก้ไขให้ (เริ่มไม่เกิดอาการ “เอ่อ เอิ่ม อ่า……”)

พอความคิดที่มีต่อภาษาเปลี่ยนไป การเรียนภาษาก็เริ่มสนุกขึ้น จากหัวข้อที่คุยกับอาจารย์แต่ละคน ในเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไป ก็เริ่มหันมาคุยกันในหัวข้ออื่นๆมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วิธีการที่อาจารย์แต่ละท่าน เรียนภาษาด้วยตนเอง ,แอพ หรือ Youtube ช่องไหนที่อาจารย์ใช้ในการช่วย ฝึกภาษาของตัวเอง , วิธีการออกเสียง การขยับปากในแต่ละคำศัพท์ , วิธีการพูดหน้ากระจก , วิธีการฝึกพูดคุยกับตัวเอง หรือการเรียนภาษาผ่านทางซีรีย์โดยไม่เปิด Subtitle

ไปจนถึงระบบฯบำนาญ ของชาวอเมริกาที่มาอาศัยในไทย , การเริ่มต้นตั้งธุรกิจการให้คำปรึกษา ว่ามีวิธีการเริ่มต้นอย่างไร (ครูผู้สอนอาศัยอยู่ในไทย และไม่จำเป็นต้องทำงาน แต่เลือกมาสอน เพราะอยากพูดคุยกับผู้คน) , ครูผู้สอนที่มีประสบการณ์เคยพบกับหลุย ซัวเรส รวมถึงบรรยายว่า หลุย ซัวเรส เป็นคนที่ได้รับความนิยมต่อคนในประเทศเธออย่างไร (เธอเป็นคนอุรุกวัย) , ไปจนถึงกิจกรรม Ikebana จากอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ทำให้ได้รู้ถึงวิธีการสร้างศิลปะ จากการหาไม้แตก จานเก่า ดอกไม้ไม่สวยงาม เพื่อนำมารวมกันสร้างเป็นศิลปะที่สวยงามได้ ฯลฯ

ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเก็บตัว หลังจากผ่านการคุยกับอาจารย์มา 40 คนในหนึ่งเดือน เริ่มคิดว่า ตัวเราไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นละ และเริ่มคิดโทษตัวเอง ว่า “ทำไมไม่ยอมเอาตัวเองออกไปเจอกับสังคมบ้างนะจนอายุจะปูนนี้แล้ว”

ก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องดีใจเว่อร์มั้ย เพียงแค่เรามีความสามารถที่ทำในเรื่องนี้ได้ จนถึงขนาดต้องมาเขียนโพสต์ลงสื่อ Social แต่คิดแล้วว่าลงไปเถอะ เผื่อมันไปสร้างแรงบันดาลใจให้ใครบางคน ว่าแก่ขนาดนี้ก็ยังไม่สายเกินเรียนภาษา หรือมันอาจไปเป็นตัวอย่าง ว่าหากอยากจะเรียนรู้ภาษาแบบเรา สามารถเรียนตามได้ยังไง หรืออาจมีคน อยากให้การสนับสนุน ชวนเราไปทำอะไรที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ หรือชวนไปทำงานกับบริษัทต่างชาติ เมื่อมีโอกาสนั้นเข้ามา เราจะได้ตอบรับโอกาสนั้นในทันที 555

สุดท้ายนี้ เหมือนยังไม่รู้นะว่าจะเอาทักษะภาษาที่ได้มานี้ไปใช้อะไร แต่ผมคิดว่า ผมจะหาทางใช้มันในทุกๆวันต่อแต่นี้จริงๆจังๆทุกวันแหล่ะ อย่างน้อยก็ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆจากคุณครูแต่ละคนในทุกๆวัน แค่นั้นชีวิตก็สุดยอดมากแล้ว