Categoriesอ่านแล้วเล่า

ฉันอาจจะผิดก็ได้ ปัญญาญาณจากชีวิตพระป่า : i may be wrong

เลือกหนังสือเล่มนี้มาอ่านในช่วงนี้เพราะมีความรู้สึก ว่าชีวิตของเรามันหยุดคิดไม่ได้เลย ไหนจะปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน ไม่มีความสงบเกิดขึ้นในใจเลย

แล้วอยู่ๆวันหนึ่งก็เหลือบไปเห็นหนังสือที่มีชื่อว่า “I may be wrong” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “ฉันอาจจะผิดก็ได้” ซึ่งครั้งแรกที่อ่านชื่อนี้แล้วเหมือนมนต์สะกดว่า “หากเรามีความคิดแบบนี้ได้ เราจะได้เป็นคนที่ไม่ต้องไปโทษใคร ทุกอย่างเป็นความคิดของตัวเราเอง ทุกอย่างเราอาจจะผิดเองก็ได้”

เนื้อเรื่องภายในเล่ม กล่าวถึงชาวต่างชาติท่านหนึ่งที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แต่เกิดเบื่อหน่ายชีวิตทางโลกขึ้นมา เลยจับผลัดจับผลูได้เข้ามาบวชเป็นพระป่าในประเทศไทย

ความประทับใจที่มีในหนังสือเล่มนี้ คือการที่ผู้เขียนพยายามบอกเล่า การหาวิธีในการเอาชนะกับปัญหาที่คิดว่าคนเราทุกคนต้องเจอ นั่นคือการที่เราไหลไปตามความคิด ปรุงแต่งจิตให้คิดไปเองจนชีวิตของเรามีแต่ความวุ่นวายใจ โดยส่วนตัวในขณะที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ตัวผมเองก็พึ่งเริ่มทำสมาธิได้ไม่นาน และมีประสบการณ์บางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันกับผู้เขียนในหนังสือเล่มนี้ จึงทำให้ตลอดการอ่าน มีความนิยมชมชอบในใจ อ่านไปหัวเราะไป

ในหนังสือไม่ได้บอกเล่าถึงพิธีการสวดมนต์ พิธีรีตรองต่างๆ หรือความอัศจรรย์ที่เกิดจากการปฏิบัติแต่อย่างใด แต่ในนั้น ผู้เขียนได้บอกเล่าเรื่องสถานการณ์บางอย่างที่ยากลำบาก และความบังเอิญที่มาช่วยให้ผ่านสถานการณ์นั้นๆไปได้อย่างง่ายดายในเรื่องต่างๆแทน ?!

ช่วงท้ายของหนังสือ มีบางช่วงบางตอนบอกเล่าเกี่ยวกับการทำการุณยฆาต โดยในตอนนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อของผู้เขียน ซึ่งในบทนั้นระหว่างอ่านไป ผมก็หดหู่ไป และคิดต่อไปอีก ว่าหากในอนาคตมันสามารถทำได้โดยถูกกฏหมาย เราจะเลือกการจบชีวิตให้กับร่างกายของเรามั้ยนะ (อ่านจากหนังสือเล่มนี้ วิธีปฏิบัติทางพระ เรื่องกายกับจิต มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หากเราไปเลือกจบชีวิตให้กับร่างกาย มันถูกแล้วจริงหรอ ?)

หลังอ่านจบ คิดว่าตัวเราได้คาถาที่ทำให้เรามีชีวิตต่อไปอย่างไม่ฟุ้งซ่าน อย่างน้อยก็ช่วงที่อ่านหนังสือเล่มนี้ และเชื่ออีกว่าหากเรายังทำวิธีการปฏิบัติตามหนังสือเล่มนี้ ตัวเราน่าจะมีความวุ่นวายในชีวิตน้อยลง ไม่มากก็น้อย

สุดท้ายขอส่งบุญให้ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ในที่ที่มีความสงบ-สุขตลอดไป และขอขอบคุณที่มอบสิ่งดีๆ ที่มาช่วยให้ผมมีสติ และมีชีวิตที่ดีต่อจากนี้ไปด้วยครับ สาธุ

Categoriesอ่านแล้วเล่า

คู่มือตั้งตั้นสำหรับคนทำงาน ที่ไม่อยากหลงทางไปตลอดชีวิต

SKILL BEFORE PASSION
SO GOOD THEY CAN’T IGNORE YOU
คู่มือตั้งตั้นสำหรับคนทำงาน ที่ไม่อยากหลงทางไปตลอดชีวิต

ผู้เขียน : CAL NEWPORT
ผู้แปล : พรรณี ชูจิรวงศ์
สำนักพิมพ์ : We Learn

—————————————————————————————————————-

“จงทำในสิ่งรัก” เป็นคำแนะนำที่อันตราย

เคยมั้ย ที่ได้ยินคำแนะนำให้เราทำในสิ่งที่เรารัก ตัวอย่างเช่น

“คุณต้องค้นหาสิ่งที่รัก..ทางเดียวที่คุณจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ คือรักในสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้ายังหาสิ่งนั้นไม่เจอก็จงหาต่อไป อย่าถอดใจ”

ผู้เขียนได้บอกกล่าวกับผู้อ่านว่า อย่าไปเชื่อคำแนะนำนี้เด็ดขาดนะ หากเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง คุณอาจพบกับอนาคตที่อันตรายได้เลย

หลังจากนั้น ผู้เขียนได้พาไปสำรวจ แต่ละคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น ในจุดเริ่มต้น คนเหล่านั้นอาจไม่ได้มีความรักในสิ่งที่ทำตั้งแต่แรกเริ่ม ตัวอย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์ที่ในตอนเริ่มต้น เขาไม่ใช่คนที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีมากมาย เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่หาตัวตนของตัวเองในช่วงมหาวิทยาลัย แต่เขามีเพื่อนที่คลั่งไคล้ในเทคโนโลยี อย่าง สตีฟ วอซเนียก และมองเห็นโอกาสที่ทำให้เขาสามารถทำเงินได้ในระยะสั้นจากยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

หลังจากที่เขาทำเงินกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้มากมายแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงได้ตระหนักว่าเขารักในสิ่งที่เขาทำ..

ผู้เขียนได้เล่าให้ฟังถึง “สิ่งที่คนรักในงานที่ทำมีร่วมกัน” นั่นคือ

1.อิสระในการทำงาน : ความรู้สึกที่ว่าคุณมีอำนาจที่จะควบคุมการใช้เวลาในแต่ละวันของตัวเอง รวมถึงความรู้สึกที่ว่า การกระทำของคุณมีความสำคัญ
2.ศักยภาพ : ความรู้สึกที่ว่า คุณเก่งในสิ่งที่ตัวเองทำ
3.ความสัมพันธ์ : ความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น

คนที่มีความรู้สึกว่าไม่ได้รักในงานที่ทำ อาจเป็นเพราะมีความรู้สึก 1 ใน 3 ข้อนี้ขาดหายไป เลยทำให้ไม่รู้สึกถึงความรักในสิ่งที่ทำอยู่


ผู้เขียนได้บอกเล่าถึงความล้มเหลว ของคนที่เลือกทำอะไรเพียงแค่ความหลงใหล เช่น คนที่เบื่องานในสายงานการตลาด และอยากเริ่มต้นธุรกิจโยคะเพียงเพราะเป็นความชอบ แต่จากความที่ไม่มีความรู้ลึกในเรื่องที่ทำนั้นดีพอ จึงทำให้เขาประสบปัญหากับการทำธุรกิจ หรือบางคนที่คิดว่าไม่อยากทำแล้วงานเขียนโปรแกรม อยากไปขายหมูปิ้ง ส้มตำ แต่ยังไม่เคยออกตลาดจริง สุดท้ายก็พบกับปัญหาทางธุรกิจเช่นเดียวกัน (เรื่องอันหลังนี่น่าจะมาจากความคิดเห็นของตัวผมเอง ฮ่าๆ)

ผู้เขียนจึงได้เสนอว่า ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าหรือไม่ หากเราสามารถพัฒนาทักษะที่หายากและมีคุณค่าขึ้นมา จนคุณเก่งขึ้นถึงขนาดที่ว่าไม่มีใครสามารถปฏิเสธในสายงานที่คุณทำได้ เพราะพลังของต้นทุนทางอาชีพที่คุณพัฒนามาตลอดนั้น มันสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็น “อำนาจในการควบคุมสิ่งที่คุณจะทำได้”

ก่อนที่จะเป็นการสรุปหนังสือทั้งเล่มให้อยู่ในไม่เพียงกี่หน้า เลยขอตัดจบเลยว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่เข้ามาช่วยในวันที่ตัวผมเองกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ผมมีความเหมาะสมกับงานที่ผมทำนี้มั้ย” กับอีกคำถามคือ “ผมรักในงานที่ผมได้รับเงินเดือนนี้หรือเปล่า” เพราะที่ผ่านมารู้สึกเครียดกับโปรเจคที่ทำพึ่งเสร็จ จนไม่แน่ใจว่าตัวเรายังเหมาะสมกับการทำงานนี้ต่อดีมั้ย ทั้งความรู้สึกเก่งไม่พอ จัดการงานได้ไม่ดี แก้ปัญหาไม่ได้ตามเวลา บลาๆๆ

หลังอ่านจบ ก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเองถึงวิธีการว่า “เราจะทำงานอย่างไร ให้มีความสุข……..”


หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร : แม้คนเขียนจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นทำงาน ที่ไม่อยากหลงทางไปตลอดชีวิต แต่ในความรู้สึกหลังอ่าน ผมว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่เริ่มมีความคิดอยากลาออกจากงานที่ทำ เนื่องจากเบื่องาน คนที่อยากไปเปิดธุรกิจ แต่ยังไม่มั่นใจ คนที่อยากลาออกมาเป็นนายตัวเอง หรือคนที่เริ่มตั้งคำถามกับงานที่ตัวเองทำเหมือนผม ว่าความสุขในงานคืออะไร เรารักในงานที่เรารับเงินเดือนหรือเปล่า หรือเราควรไปทำในสิ่งที่เรารักดีกว่ามั้ย (ว่าแต่ สิ่งที่เรารักคืออะไร…)

หากคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ ขอแนะนำให้หาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน คุณจะได้คำตอบที่ดีกลับมาแน่นอน แนะนำเลย!!!

Categoriesอ่านแล้วเล่า

“ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์….”

ขอเล่าถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่พึ่งอ่านจบไปในช่วงนี้ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์”
ตอนแรกที่อ่านชื่อแล้วสะดุดมาก เพราะชื่อหนังสือ เมื่ออ่านเสร็จมันทำให้รู้สึกว่า “นี่ชีวิตนึง มันมีเวลาอยู่บนโลกเฉลี่ยแค่ประมาณ 4,000 สัปดาห์เองจริงรึ” คำพูดที่น้อยแต่ทรงพลัง มันสร้าง Impact มากระแทกกับความคิดเราได้ทันทีเลยว่า “ชีวิตมีเวลาแค่ประมาณสี่พันสัปดาห์เองนะ อย่าใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่มันไม่จำเป็นหล่ะ”

หลังโดนคำโปรยบนหน้าปกตกให้เสียทรัพย์ ก็ได้จับจองหามาเป็นเจ้าของกัน

แล้วหลังจากนั้น ก็ใช้เวลาในแต่ละคืน อ่านมันไปทีละบท ทีละบท


จากที่หวังในตอนแรกว่าหนังสือเล่มนี้ จะสอนให้เราใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละด้าน คงออกแนวมาสอนให้เราทำอะไรให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เหมือนเทคนิคการจับเวลาทำ 45 นาที พัก 15 นาทีอะไรพวกนั้น แต่พอได้อ่านหนังสือจริงมันไม่ใช่แบบที่คิดเลย

หนังสือ ได้เล่าบอกในบทตอนต้นถึงช่วงเวลาตั้งแต่สมัยก่อน ในยุคที่ไม่มีเวลาหรือนาฬิกา คนในยุคนั้น เริ่มทำงานตอนพระอาทิตย์ขึ้น ทำเรื่อยไปจนถึงพระอาทิตย์ตก เมื่อนั้นก็หมดเวลา นอนแล้วก็พอ ลืมบอกไปว่าคนยุคนั้นมีตั้งแต่ อยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา ออกป่าล่าสัตว์ มาจนถึงยุคทำไร่ไถนา เรื่อยมาจนถึงยุคปฏิวัตอุตสาหกรรม ที่คนเริ่มร่วมตัวกันมาทำงาน มีนายจ้าง มีลูกจ้าง มีการจ่ายค่าแรง ในตอนนี้นี่แหล่ะที่ฝั่งนายจ้าง เริ่มมีความกลัวในเรื่องการโกงเวลาของลูกจ้างเกิดขึ้น นั่นจึงเป็นที่มาของนาฬิกา

หนังสือได้บอกกับเราต่อไปอีก ว่าพวกคำพูดที่พูดว่า “หากเราใช้เทคนิคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ เช่น การจัดการ Email อย่างมีประสิทธิภาพ , วิธีการใช้สูตร Excel กับงานต่างๆ , เทคนิคการบริหารเวลาด้วย Time Boxing , เทคนิคการแบ่งเวลาการทำงานแบบ Pomodoro ฯลฯ ว่าไอ้เทคนิคเหล่านี้ มันจะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น งานเสร็จเร็วขึ้น จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น” ว่าที่จริงแล้วหน่ะ ไอ้คำพูดนี้มันไม่จริงนะเฟ้ย ยิ่งพวกเอ็งทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ งานเอ็งเสร็จแล้ว พวกนายจ้างจะยิ่งเอางานมาเพิ่มให้เอ็งอีก ดังนั้นเอ็งลองอ่านแนวคิดของข้าดูก่อน

หนังสือ ได้สาธยายต่อ ว่าเราสังเกตุกันมั้ย ว่าเรามีเครื่องมืออะไรต่างๆ มาช่วยให้ใช้ชีวิตกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากมาย ช่วยให้เรา “ควบคุมทุกอย่าง” ได้ แต่ทำไมเรายังบ่นกันว่า “มีเวลาไม่พอ”

เราหวังทำทุกอย่าง ตามคนที่เราชื่นชอบใน Social แล้วหวังเอาว่า หากเราได้ทำตามพวกเขาเหล่านั้น ชีวิตเราคงจะมีความสุข (มีเงิน , มีงานที่ดี , เที่ยวต่างประเทศถี่ , มีรถหรู , ใช้ชีวิตอู้ฟู่ , กินอยู่อย่างสบาย)

คือหนังสือได้บอกให้เรารู้ตัว ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้อง “ทำ” หรือ “เป็น” ในทุกๆอย่างในสิ่งที่เราอยากทำหรืออยากเป็น แต่หนังสือกลับให้เรายอมรับ ว่าเรื่องไหนที่เรา “ควรหยุด” หรือเรื่องไหนที่เราควร “ให้ความสำคัญ” กับมัน เพื่อที่เราจะได้รู้สึกถึงสิ่งที่มี “คุณค่า” ที่มันอยู่ในนั้นจริงๆ


หากเขียนมากกว่านี้ไป อาจถือว่าเป็นการสปอยล์ เลยขอตัดจบเลยละกันดีกว่าว่า

หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ช่วยให้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วก็คิดว่า “เราจะเอามันมาปรับใช้กับชีวิตอย่างไรดีนะ” เพราะทุกวันนี้ เวลาที่เราหยุดตามวันหยุด แต่สมองของเรายังคิดแต่เรื่องงาน ไม่เคยคิดจะหยุดตามวันหยุดไปกับเราเลย

แถมยิ่งที่ผ่านมา นอนพักผ่อนน้อย กินน้ำน้อย แถมยังกินอาหารไม่ดี บวกกับเครียดเรื่องงาน จนเมื่อเดือนที่แล้วเครื่องเกือบพัง หากว่าเครื่องไม่พังแบบทำงานไม่ได้ มันก็คงจะทำงานให้เราแบบ Auto ให้เอง โดยที่เราไม่ต้องควบคุม 55555

หวังว่าจะได้เอาความรู้จากหนังสือเล่มนี้ไปปรับปรุงในการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นต่อไป