CategoriesLife NotesToday..what i learn

เมื่อนักทดสอบระบบฯถูกเร่ง… ผลลัพธ์อาจไม่ต่างจากข่าวนี้

ในฐานะคนทำงานสายทดสอบระบบ
เห็นข่าวนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนตลกร้ายเลย…

ตำรวจญี่ปุ่นวัย 40 ปี ปลอมผลตรวจดีเอ็นเอกว่า 130 คดี
เพราะกลัวถูกหัวหน้าด่าว่าทำงานช้า 😞

หลายครั้งที่เราต้อง “ทดสอบระบบ” ก็เพราะ
ระบบที่เราทำมันมี “โอกาสพังได้”
และเราทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่า
✅ ระบบทำงานถูกต้อง
✅ ของใหม่ไม่พังของเก่า
✅ ผู้ใช้ไม่ต้องมาเจอบั๊กแทนเรา

Dev คือคนสร้าง
QA คือคนตรวจให้แน่ใจว่า
ระบบจะทำงานตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ

แต่บางที… ในโลกความเป็นจริง
เทสเคสมันเยอะจนเวลาไม่พอ
หัวหน้าก็กดดันว่า “ทำไมยังเทสไม่เสร็จ”

อ่านข่าวนี้แล้วก็ได้แต่ภาวนา ขอให้หัวหน้าและทีมลีดทั้งหลาย
ลองอ่านข่าวนี้บ้างเถอะ
อย่าเร่ง QA มากนัก เดี๋ยวลูกน้องจะ “ปลอมผลเทส” แล้วงานจะพังยิ่งกว่าเดิม (เข้าใจกันดีกว่าน้า)

📝 หมายเหตุ:

  • หากนักทดสอบที่มีสกิล Coding จะสร้างระบบอัตโนมัติมาช่วยได้
    แต่ในหน่วยงานราชการ… ผมยังไม่แน่ใจว่ามี Automation มาช่วยแล้วหรือยัง
  • ภาวนาขอให้ผู้เสียหายจากผลตรวจที่ไม่ถูกต้องทุกคน ได้รับความยุติธรรมด้วยครับ

ที่มา : https://thethaiger.com/th/news/1453926

CategoriesToday..what i learn

บันทึกตอนที่ 1 : คลิปแรกกับการเรียนตัดต่อเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอนคอร์ส AI-Powered Full Stack Developer 🎬

หลังจากที่ประกาศออกไป ว่ากำลังขายคอร์สน้า หัวข้อ “AI-Powered Full Stack Developer”
อยู่ๆก็เริ่มมีความคิดเกี่ยวกับทักษะที่เรามี…ว่ามันดีพอหรือยังนะ
ถ้าคนที่ไม่รู้จักเราเขาจะรู้ได้ไงว่าเราสามารถแชร์เรื่องเหล่านั้นได้จริง
ไหนจะสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารออกไป คนฟังเขาจะถูกใจกับเทสต์ที่เรานำเสนอหรือเปล่า (ฮา)

คิดได้ดังนั้นเลยคิดว่า “เอ้อ งั้นเราลองทำวิดีโอ Sample ดูก่อนแล้วกัน”
ว่าแล้วก็ไปเรียนตัดต่อวิดีโอให้พอเข้าใจเครื่องมือเลย

และนี่ก็คือผลงานของวิดีโอตอนแรกที่เรียนจบไป (พึ่งตอนแรกเองนะ)
ว้าวอยู่เหมือนกัน กับเวลาแค่ไม่กี่นาที และได้ผลงานประมาณนี้

หวังว่าหากเรียนตัดต่อเสร็จ ก็น่าจะทำวิดีโอเรื่องเกี่ยวกับ “AI-Powered Full Stack Developer” นี่แหล่ะ
ลงไปใน Page แต่ละตอน ตอนละสั้นๆ ไม่นานเกินไป เอาให้พอมีเวลาทำตามได้ง่ายๆ ก็พอ

หมายเหตุ : ผมลงเรียนกับทางอาจารย์ เพจ “P-Sky” ราคาสามารถสอบถามทางหน้าเพจของอาจารย์ท่านได้เลยครับ

CategoriesLife NotesToday..what i learn

เรื่องเอ๊ะ…ระหว่างวัน

1.FOMO มั้ย ?
ทุกวันนี้ใช้ชีวิตเสพย์ Facebook ไปในแต่ละวัน ด้วยการอ่านเรื่องที่ตัวเองสนใจ
อยู่ไปอยู่มาชักจะอ่านไม่ไหว แต่ยังไงก็ขอแชร์ไว้ก่อนก็แล้วกัน
ตอนนี้เรื่องที่แชร์ มีอยู่เต็มหน้า Feed ในรูปแบบ “Only Me”
ถ้าย้อนไปอ่านจริงก็คงไม่ไหว
แต่แชร์ไว้แล้ว ไม่อ่านก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยได้แชร์…ก็ยังดี

2.ดีแล้วหรอ ??
คิดว่าส่วนตัวเป็นคนไม่สนใจเรื่องของใคร…
จนวันนี้ได้ไปนั่งกินข้าวในสถานที่คล้ายโรงอาหาร
ได้ยินคนนั่งตรงข้ามกำลังพูดถึงบุคคลที่ 3 ในทางที่ไม่ดี
คิดในใจว่า “ทำไมต้องว่าคนอื่นด้วย แล้วต้องถึงขนาดยกเอาคำพูดที่ดูสวยหรูขึ้นมาคุยกับคู่สนทนา
เพื่ออวดให้ตัวเองดีกว่าคนอื่นนี่นะ ฟังแล้วสงสารคนที่โดนกล่าวถึงในบทสนทนานั้นเลย”

จู่ๆก็เอ๊ะขึ้นมา “มึงไม่ชอบที่เขาไปว่า ไปตัดสินคนอื่น แล้วสิ่งที่มึงทำนี่หล่ะ ไม่ได้ตัดสินคนตรงข้างหน้าเขากันอยู่หรือไง
ตัวมึงดีแล้วหรอ นี่มึงก็กำลังคิดว่าเขาไม่ดีอยู่ในใจเหมือนกันนะ”

หลังตัวเอ๊ะทำงานเสร็จ ก็ทำให้เข้าใจว่า “ตัวมึงดีแล้วหรอ?” (ไปดีกว่า ไม่ใช่เรื่องของกู)

3.Short Live Branch – Long Live Branch
สมัยนึง นั่งเรียนเกี่ยวกับ Agile เข้าใจว่าของใหม่ ยังไงก็ต้องดีกว่าของเก่าเสมอ
แล้วสิ่งที่ Startup หรือทีมแบบ Agile มักทำ นั่นก็คือ Short Live Branch…
หลังมาทำงานจริง และเริ่มได้เห็นบริบทอื่นๆ ก็เริ่มทำให้เข้าใจ ว่าของที่เราเคยคิดว่าดี
ที่จริง มันอาจไม่ได้ Fit กับทุกบริบทก็เป็นได้

4.นอนก่อน อ้วนน้อย..?
วันก่อน กินขาหมู+ไก่ย่าง 5 ไม้ = น้ำหนัก 84
วันนี้ กินขาหมู+ไก่ย่าง 5 ไม้ = น้ำหนัก 84.5
กินเท่าเดิม แต่ทำไมน้ำหนักไม่เท่าเดิม?
บางที โลกอาจสอนว่า
เราควรไปนอนได้แล้ว ถ้าไม่นอน …เดี๋ยวน้ำหนักขึ้นนะ

สวัสดี

CategoriesTech Learning JourneyToday..what i learn

เมื่อผมนั่งเรียน Meta Back-End Developer

เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่ลาออกจากที่ทำงานบริษัทก่อนหน้า ก็มานั่งเรียน Coursera อย่างเดียว ไม่ทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือน

ความตั้งใจตอนนั้นคืออยากหางานตำแหน่ง Backend Developer เพราะคิดว่าเราน่าจะพอมีประสบการณ์มาบ้างและน่าจะทำงานได้

แต่แม้จะมีความมั่นใจว่าเราน่าจะทำอะไรนั่นนู่นนี่ได้ แต่การไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ + อายุที่มากขึ้น ก็เป็นอะไรที่น่ากังวลใจกับการหางานในตอนนั้นเลยทีเดียว

ยิ่งตอนนั้น ถึงขนาดลองลิสต์คำถามที่อาจจะต้องเจอออกมา หลายอย่างเราเองในตอนนั้นยังตอบไม่ได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น

-อธิบายสถาปัตยกรรมของระบบ Backend ที่คุณเคยทำงานด้วย เช่น Microservices, Monolithic, หรือ Event-driven

-เวลาสร้าง API คุณจะออกแบบให้รองรับ scalability และ security อย่างไร

-Authentication, Authorization, Rate limiting เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

-คุณใช้ฐานข้อมูลประเภทไหนบ้าง และเลือกใช้อย่างไรระหว่าง SQL vs NoSQL

ฯลฯ

เลยเป็นที่มาให้ลงคอร์สเรียนหลักสูตรของทาง Coursera ที่มีหัวข้อดังนี้

-Meta Back-End Developer

-IBM DevOps and Software Engineering

(อันที่จริงก็มีหัวข้ออื่นจาก Platform อื่น ๆ อีกเยอะเต็มไปหมดเลย)

จนสุดท้ายเลยมาได้งานเป็น QA กับที่ทำงานปัจจุบัน ตลกดีที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็น Backend Developer ตามที่คาดหวังไว้ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเป็น QA อยู่กับทีมที่เป็น Backend ตามที่เรียนมาอยู่ดี โดยเฉพาะความรู้จากคอร์สช่วยให้ผมเข้าใจทีม Backend และสามารถทำงาน QA ได้ลึกขึ้น

ลืมบอกไปว่าปีที่แล้ว ระหว่างเรียนเพื่อไปหางาน ที่เรียนไว้ก็เรียนไม่จบ และได้หยุดเรียนไปเกือบปี เนื่องจากได้งานแล้ว + ต้องปรับตัวกับที่ทำงาน เลยไม่มีโอกาสกลับมาเรียนต่ออีกเลย

จนได้เข้ามาอีกครั้ง เพราะมาอัปเดตความรู้ จึงได้เห็นว่าเราเรียนค้างไว้ยังไม่จบ เลยกัดฟันเรียนต่อให้มันจบไป

ถามว่าทำไมจึงเรียนไม่จบ ก็คิดว่าน่าจะเป็นความยากของหลักสูตรนี้ ที่ระหว่างเรียนแต่ละหัวข้อจะมี Project เล็ก ๆ ให้ทำ (เล็กแน่นะวิ!!)

ทำแล้วต้องมีการส่งขึ้น Github และแชร์ลิ้งค์ส่งไปให้ตรวจ

หลายครั้งที่ตรวจไม่ผ่าน เสียเวลาท้อไปเลยก็มี

และอาจจะด้วยเพราะปีที่แล้ว เรายังใช้ AI Coding ไม่เป็นเลยทำให้ท้อใจไป ก็เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุ และความไม่รู้ว่าเราจะเรียนไปแล้วจะได้ใช้มั้ยก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญเช่นกัน

แต่วันนี้เมื่อมาทำงานจริงก็พบว่าหลาย ๆ ความรู้ก็เจออยู่ในที่ทำงานเกือบหมดเลย

ขยายความต่ออีกนิดว่าความรู้สึกที่เมื่อเราเรียนไป และเราไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร มันเป็นความรู้สึกกลวงมากจริง ๆ นะ

-เขาจะใช้ภาษาอะไรนะ

-ภาษานี้มันมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้างนะ

-เราต้องเก่งเรื่องนั้นถึงขนาดไหนนะ เขาถึงจะรับเราเข้าทำงาน

นา ๆ จิตตัง พาจิตตกกันเลย

แต่ความโชคดีของเราอีกอย่างคือได้เอาความรู้นั้นไปแชร์ต่อให้กับน้อง ๆ ในมหาวิทยาลัย + กับได้เห็นว่าที่ทำงานเก่าเราเลือกใช้ Tech Stack อะไร เลยทำให้มั่นใจว่าเราเดินมาไม่ผิดทางแน่นอน

สุดท้าย เขียนมาตั้งยาว คืออยากอวดว่าเรียนจบแล้ว เรียนมาเป็นปีเลยทีเดียว อยากบอกว่าเรียนกันเถิด ยิ่งในยุคที่ AI ครองโลกแบบนี้ แม้จะไม่การันตีว่าเรียนแล้วคุณจะทำได้อย่างที่เรียนมั้ย แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งเลย คือคุณเป็นคนขยันหาความรู้แน่นอน

แม้คุณอาจไม่ได้งานตรงสายที่เรียนมา แต่ความรู้ที่ได้จะวนกลับมาช่วยคุณแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

(อย่าลืมหาทางเอาความรู้ที่เรียนมาไปใช้ด้วยนะ)

https://coursera.org/share/6f6c5ae56c440eed4d8aa9597c27da17

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

เมื่อผมนั่งเรียนเรื่องเขียน Code ด้วย AI และ Vibe Coding ตอนที่ 2

ปกติก็ใช้ AI Tools สำหรับการทำงานอยู่แล้ว แต่มีเหตุให้ต้องไปถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ Ai Coding หรือ Vibe Coding การเทคคอร์สให้มั่นใจนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

หัวข้อที่เรียนคือเรื่องการใช้งาน Tools อย่าง Cursor โดยเริ่มตั้งแต่
-เริ่มต้นรู้จัก Cursor AI
-ใช้ Cursor เป็น AI-first code editor
-รู้จักการทำงานร่วมกับ workflow
-การพัฒนา -AI-powered Development
-Chat panel → คุยกับ AI
-Agent Mode / Ask Mode → เลือกตามงานที่ทำ Switch LLMs
-ปรับโมเดลให้เหมาะกับการใช้งาน
-Debugging & Iteration
-การใช้ Cursor ตรวจจับและแก้ bug แบบ real-time
-ใช้ New Chat เพื่อรักษา context และลดอาการหลอน (hallucination)
-ใช้ Context tools เช่น Add Docs, Add Web, Files/Folders
-ตั้งค่า Cursor Rules เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI
-เรียนรู้ MCP (Model Context Protocol) เชื่อมต่อกับระบบภายนอก

หลังเรียนจบแล้วก็คิดได้ว่า คิดถูกแล้วที่มาลงเรียน ไม่งั้นได้ปล่อยไก่ เอาไปนำเสนอแบบผิดๆแน่นอน

ว่าแต่ MCP นี่มันว้าวมากเลยนะ ผู้สอนพาใช้เว็บอย่าง smithery.ai แพลตฟอร์มจัดการ “MCP servers” สำหรับ AI agents (อารมณ์ประมาณ pypi.org ของ python แต่นี้เป็นตัวเสริมของพวก AI)
ที่พอไปเชื่อมปุ๊ป AI ที่ทรงพลังมากแล้ว มันยิ่งทรงพลังเพิ่มไปอีก เช่น เชื่อมต่อ github , ใช้ Cursor เชื่อมต่อกับ Web โดยใช้ Playwright Automation (เครื่องมือทดสอบ web แบบอัตโนมัติ)

สรุป
ก่อนเรียน → แค่ใช้ Cursor เขียนโค้ดได้ ใช้ ctrl + l , ctrl + k เป็น
หลังเรียน → รู้แล้วว่าจะควบคุม behavior ของ AI ด้วย Cursor Rules และต่อยอดกับ MCP ยังไง

Key takeaway MCP (Model Context Protocol)

ปล.คอร์สดองใน Coursera ยังเรียนไม่ครบเลย ไปเรียนคอร์สใหม่อีกแล้ว โลกหมุนไวจริงๆ

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

เมื่อผมนั่งเรียนเรื่องเขียน Code ด้วย AI และ Vibe Coding

มีโจทย์ให้ต้องนำเรื่องการเขียน Code ด้วย AI และ Vibe Coding ไปแชร์ความรู้

หลังได้รับโจทย์มา สิ่งแรกที่คิดได้คือ Technical Debt ก่อนเลย เพราะขนาดเราทำแอพฯด้วย AI เอง ยังต้องแก้ตั้งหลายรอบ แล้วหากเราไปแชร์ให้คนที่คิดเอา AI Coding เหล่านี้ไปทำธุรกิจจริงหล่ะ เขาจะไม่เสียค่า Cost ไปกับการแก้ไขหรอ สุดท้ายก็ได้นำสิ่งเหล่านี้ไปแชร์ก่อนรอบที่หนึ่ง

หลังผ่านการแชร์ไปหนึ่งรอบ พูดเรื่องเทคนิคแบบ E2E , Technical Debt ว่ามีอะไรบ้าง และกว่าเราจะได้แอพมาหนึ่งตัวเราต้องรู้เรื่องอะไรบ้างเท่าที่ความรู้ผมนั้นมี

อาทิตย์ถัดไปก็คือเอาเรื่อง AI Vibe Coding ไปเสนอนี่แหล่ะ ว่ามันทำงานอย่างไร

ส่วนตัวเราที่ทำงานกับ AI ได้ แต่ยังรู้สึกว่าเราขาดความรู้อยู่เลย เลยเป็นที่มาให้ได้มาเทคคอร์สสั้นไป 2 บทเรียน

หลังจบได้เทคนิคประยุกต์ AI Coding ได้ในระดับหนึ่ง เหลือเรื่องการทำให้ App คุยได้ดีระหว่าง Frontend , API , Backend – DB.

หลังจบคอร์สนี้หากผู้เรียน Happy คงเปิดคอร์สเรียนแบบนี้ขึ้นมาจริงจังแน่นอน

ตอนนี้ขอไปเรียนต่อก่อน

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

🚀 Day 1 กับ Kiro – จากโค้ดในอีเมล สู่ Requirement, Design และ Task พร้อมเทสต์กระจาย

วันนี้เพิ่งได้ลอง Kiro – Ide Tools เพราะพึ่งได้ code การใช้งานที่ส่งมาใน Email

(ทำให้นึกถึงสมัยเรียน ป.ตรีเลย ที่ต้องได้ invite ก่อนใช้ Gmail…

ยุคนั้นใครมี Gmail ขนาด 1 GB นี่โก้จริง ๆ )

ก่อนหน้านี้เคยอ่านผ่าน ๆ ว่า Kiro เก่งเรื่อง context – spec driven และช่วยเราสั่งงานแบบมีระบบ

แต่ถึงจะอ่านมาแล้ว ถ้าไม่ได้ลองทำจริงก็ยังคิดไม่ออก ว่าน้องจะทำงานยังไง

จนวันนี้ได้ลองจริง ถึงได้รู้ว่าน้อง Kiro มันเก่งจริงๆ

ในภาพก่อนมาหน้านี้ ผมให้ Kiro ออกแบบฟีเจอร์ขึ้นมาฟีเจอร์หนึ่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…น้องจัดการทุกขั้นตอนให้ครบลูปเลย ตั้งแต่ Requirement → Design → Task Breakdown

โดยทำตั้งแต่

1.Requirement (requirement.md)

น้องสกัดสิ่งที่ผมเล่า ออกมาเป็น requirement file

ระหว่างทำก็มีถามซ้ำ เพื่อยืนยันว่าตรงกับที่ผมอยากได้จริง ๆ

ส่วนตัวผมชอบตรงนี้ดีนะ เพราะกันความ “คิดไปเอง” ของ AI ได้ระดับนึง

คือให้เชื่อสิ่งที่เราออกแบบจริง Requirement นี้จริงๆเท่านั้นนะ

2.Design (design.md)

ออกแบบในมุม Dev เหมือนส่งให้ทีมอ่านต่อได้ทันที

เท่าที่อ่านในไฟล์ น้องออกแบบมีโครงชัด ฟังก์ชันชัด พออ่านเสร็จแล้วแอบขนพองสยองแทน SA , BA จริงๆ เพราะน้องเขียนละเอียด เก็บทุกส่วนเป๊ะเว่อร์ หากเราจัดทำเอกสาร เอาสิ่งที่น้อง Kiro เขียน ก็ไปทำงานแทนได้เลย

3.Task Breakdown (task.md)

น้องแตกงานออกมาเป็นข้อ ๆ รอให้ผมเป็นผู้กดเริ่ม (Start Task)

เหมือนมี PM ย่อม ๆ มาช่วย list สิ่งที่ต้องทำก่อนเริ่มโค้ด

เมื่อผมกด Start Task น้องก็ทำหน้าที่เป็น Dev ให้ด้วย

จากใน Task จะเห็นว่ามีเขียน Unit Test แถมมาให้ด้วย อ่านแล้วประทับใจดี

คิดว่าหากจุดนี้ผมเขียน Widget Test , Integration Test , Golden Test

สำหรับ Flutter ไว้ด้วย น้องน่าจะทำงานได้

ปิดท้าย Day 1

เขียนมาถึงตรงนี้ คืออยากจะบอกว่างานฟีเจอร์ที่สั่งยัง Run ไม่จบ เพราะน้องมัน Unit Test กระจาย ถ้าไม่ผ่าน มันก็ไม่หยุด

และจากความรู้สึก ผมคิดว่าน้อง Kiro ตัวนี้มันน่ากลัวจริง การควบคุมสิ่งที่ทำด้วย context – spec driven มันทำให้ดู “ระบบเป็นระบบ” อย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ

ขอไปลอง Widget Test , Integration Test , Golden Test สำหรับ Flutter กับน้องเพิ่มอีกหน่อย

หากน้องมันยังเก่งทำงานได้ดีอีก ผมสัญญาจะตั้งใจทำงานไม่มีปาก มีเสียง ขยันทำงานเก็บเงินเลย

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

เมื่อผมลอง Vibe Coding ทำโปรเจคระบบลงทะเบียนสถานปฏิบัติธรรมของบ้านแม่ผม

นั่งทำแอพฯระบบลงทะเบียนสถานปฏิบัติธรรมบ้านเพชรบำเพ็ญ (บ้านแม่ผมเอง) ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 80-90% แล้ว

ที่เริ่มต้นทำ เพราะจากปัญหาที่เคยเห็นมาหลายๆที่คือ…

-ผู้มาปฏิบัติธรรมต้องเขียนฟอร์มใหม่ทุกครั้ง แม้จะมาเป็นประจำ
-บางท่านต้องฝากบัตรประชาชนไว้ แล้วก็มีลืมรับคืนบ้าง หรือกังวลว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้อะไรหรือเปล่า
-ลายมืออ่านยากทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมานั่งเดาอีกว่า “นี่เขียนว่าอะไรนะ”
-และที่สำคัญ…ถ้าถามว่า “สัปดาห์นี้มีคนมากี่คน” ไม่มีตัวเลขชัด ๆ ที่ตอบได้

ผมเลยคิดว่า…”เรานี่ก็น่าจะพอทำ ระบบลงทะเบียนให้สะดวกและปลอดภัยขึ้นได้นะ”
และเพราะผมคลุกคลีกับระบบเดิมมานาน เลยมั่นใจว่าพอจะออกแบบอะไรให้ตอบโจทย์วัดได้แหล่ะ (เป็นเด็กวัด โตมากับวัดเลย)

Tech Stack ที่ใช้ก็จะประมาณนี้
-Flutter รับผิดชอบ UI ต่างๆของหน้าแอพฯ
-SQFLite รับผิดชอบเก็บข้อมูลในฐานข้อมูล หากข้อมูลนั้น Sensitive ก็ให้ระบบนั้น Mark Sensitive Data ไว้
-ChatGPT + Cursor + Claude Code รับผิดชอบเรื่อง QA , Junior Dev , Senior Dev แตกต่างกันไป

ตอนแรกก็อยากจะเล่าว่า “เอ้อ นี่เรานั่งทำแอพฯมานะ ได้แอพนั่นนี่มา” อารมณ์แบบอวดๆหน่อยว่าข้าทำแอพฯได้
แต่ก็ไม่ดีกว่า เพราะว่ามาคิดๆดู เราก็ไม่ใช่คนทำหลัก ที่หลักก็น่าจะเป็น AI เองซะมากกว่า
เลยขอเปลี่ยนเป็นมาเล่าเรื่องการทำงานกับ AI แทน ว่ามันเป็นยังไง

ตอนแรกก็กลัวมากกว่า AI จะมาแย่งงานโปรแกรมเมอร์ + QA หรืองานต่างๆที่เราเคยทำได้
หรือกลัวอีกแบบก็คือ ใครๆก็เขียนโปรแกรมได้นะ ต่อไปได้ตกงานแน่ๆ
แต่พอได้ใช้ AI จริง ๆ ผมกลับมองอีกแบบ

เพราะถ้าเรา พื้นฐานไม่แน่นหรือภาพรวมไม่ชัด ก็เสี่ยงที่จะทำโปรเจควนไปแบบไม่จบ
แม้ AI จะช่วยให้เราเร็วขึ้นก็จริง แต่ถ้าเราไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง ก็จบเห่ได้เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น
-เวลาผมสั่งให้เพิ่มโค้ดทีละจุด มันก็จะใส่ทุกอย่างลงในหน้าเดียวก่อน เน้นให้ทำงานได้
(Model , View , Controller มาครบ จบในหน้า Screen)
แต่ไม่คิดเรื่อง Reuse เลย จนผมต้องมานั่งบอกว่า “แบบนี้ใช้ซ้ำไม่ได้ ต้องแยก Refactor นะ”
หลังจากโดนดุหลายรอบ น้องก็เริ่มเข้าใจขึ้น

-ปล่อยให้น้อง AI จัดการไฟล์เอง โครงสร้างการเก็บไฟล์เป็นอย่างไร น้องไม่สนใจ น้องจะเก็บแบบตามใจ
สุดท้ายไฟล์อยู่คนละมุม! ทำให้ตอนโปรเจคใหญ่ขึ้น จุดนี้เริ่มทำให้เราเสีย Token ไปกับการค้นหาไฟล์โดยเปล่าประโยชน์(แรกๆก็ไม่อ่านสิ่งที่น้องทำนะ ให้น้องทำ Auto เลย หลังๆเริ่มเสียเวลาไปกับการแก้ไฟล์เอง ถึงได้รู้ว่าน้องนี่หนา!!)

-หลายครั้งน้อง AI พยายามย่อสิ่งที่เคยทำมาให้สั้นลงเพื่อเข้าใจง่าย (compact) แต่พอย่อแล้ว…ทำงานช้าลง แถมลืมความรู้เดิมอีก
เหมือนพยายามจะสรุป Lecture ให้เรา แต่ดันลืมบอกประเด็นสำคัญ สุดท้ายอ๊องๆไปเลยก็มี

-ยังไม่นับรวมกับการพยายามสร้าง Class ใหม่เพิ่มเสมอ Screen เก่ามีผมก็ไม่สน ผมเน้นทำใหม่ดีกว่า

จากจุดนี้เริ่มทำให้รู้สึกว่า
-การวางแผน Prompt ในปัจจุบันสำคัญพอ ๆ กับการเขียนโค้ด
-ต้องเข้าใจพฤติกรรม AI เพื่อรู้ว่าจะให้มันทำอะไรต่อ
-ใช้น้อง ก็ควรอำนวยความสะดวกให้น้อง เช่น บอกน้องไปเลยว่าทำงานที่ไฟล์ไหน
-น้องชอบ Compact บ่อย ให้วางเช็คพอยต์ของงาน เช่น ไฟล์ md สรุปโครงสร้างและความคืบหน้าไว้เสมอ
เมื่อน้องเอ๋อ ให้น้องไปอ่านไฟล์นั้นๆ ใหม่ในครั้งถัดไป

หากไม่ได้เริ่มทำ(prompt กับ AI) จริง คงคิดไม่ออกจริงๆนะว่า AI นั้นทำงานอย่างไร

แล้วก็มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบ จากหนังสือ “ไอน์สไตน์” (walter isaacson)
ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้กล่าวไว้ว่า “God doesn’t play dice with the universe”
แต่หลังผมลองเล่น AI เสร็จ ก็ได้คำตอบละว่า “พระเจ้าทอยลูกเต๋าแน่นอน !!!”

**จากในภาพเป็นเวอร์ชั่นใส่ Requirement เผื่อไว้เยอะไปหน่อยนะ มีจองห้องพักได้ด้วย

อนาคตหากมีสถานปฏิบัติธรรมไหน มี logic การลงทะเบียนคล้ายๆกัน น่าจะนำไปต่อยอดได้

CategoriesToday..what i learn

ไปเรียนเขียน POS กับลุงวิศวกร สอนคำนวณ แล้วผมก็ได้มากกว่าการเขียนโปรแกรม

มีโอกาสได้ไปเรียนเรื่อง “Flutter for POS by Uncle Engineer”

กับลุงวิศวกร สอนคำนวณ เพียงเพราะมีความสงสัยในหัว “ว่าแอพมือถือมันคุยกับ Hardware ได้อย่างไรนะ?”

ตอนไปก็ไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะได้ความรู้จากลุงเต็มๆแน่นอน เพราะความรู้ที่มีตอนนี้ ก็มาจากลุงหลายๆเรื่องเลย ฮ่าๆๆๆ

หัวข้อที่เรียน ลุงแบ่งไว้เป็น 2 วัน ดังนี้

วันที่ 1 เป็นการสอนเกี่ยวกับ Widget ทั้งหมดของ Flutter Framework ว่าแต่ละตัวมันทำงานได้อย่างไร โดยพาทัวร์และไปจบด้วยการแยกส่วนประกอบให้เราเข้าใจการทำงานของ Flutter แล้วออกแบบโครงสร้างของหน้าแอพฯมือถือ

วันที่ 2 ลุงก็พา Vibe Coding กับการทำงานเขียน Code ผ่าน AI (เพราะว่าแต่ละคนน่าจะมีพื้นฐานจากเมื่อวานมาแล้ว) พร้อมทั้งให้คนที่มาเรียน ลองคิดว่าจะทำระบบอะไร ให้ลองเสนอมา แล้วลุงจะพาทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ?!!! (จะมีวิทยากรที่ไหนใจกล้า ให้ผู้เรียนคิดหัวข้อให้แบบนี้บ้างเนี่ยะ)

พี่ที่เรียนด้วยกัน เลือกเอาระบบ รปภ ตรวจเช็คคนเข้าออกที่หมู่บ้าน ว่าใครเข้ามารถทะเบียนอะไร จะไปที่บ้านไหน

ลุงพอรับโจทย์มา ก็ค่อยๆร่าง ค่อยๆสร้างระบบฯ ขึ้นมาโดย Vibe Coding ทีละส่วนแล้วเอามาประกอบกัน

จากที่รับแค่ทะเบียนรถ กับบ้านที่จะไป

กลายมาเป็น UI โหดๆตามภาพ 5555+

ทุกหน้าจอทำงานได้ ปริ้นสลิปออกมาได้ มี Dashboard สวยงาม

หากเอาไปต่อยอดกับ Backend เขียนให้ Secure หน่อย สามารถพัฒนาทำเป็นงาน Production ได้เลย

———————————

ตัดมาที่นรภัทร หลังได้รู้ถึงแนวการเขียน Vibe Coding ว่าทำอย่างไร โดยดูวิธีที่ลุง Prompt กับ Claude ว่าทำงานร่วมกันยังไง ก็เริ่มทำระบบลงทะเบียนผู้ปฏิบัติธรรมของตัวเองบ้าง

แม้แอพฯ อาจไม่ดู Full UI แบบที่ลุงทำให้ดู (เพราะผมใช้ ChatGPT ส่วนลุงใช้ Claude) แต่ผมว่ามันก็พอได้นะ 5555+

———————————

ตัดจบด้วยความรู้สึกที่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนเรายังภูมิใจกับมันมากๆอยู่เลย ที่เราทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง

เดี๋ยวนี้ความภูมิใจมันไม่เท่าตอนนั้น แต่อย่างไรก็ดี มันก็ยังทำงานได้ดีของมันอยู่นะ อย่าไปยึดติดเลยดีกว่า เรียนให้เป็นเรื่องสนุกไป

มองไม่ออกอยู่ดี อนาคตจะเป็นยังไงกันแน่นะ

แต่ช่างมันเถอะ หากสุดท้ายแล้วเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำไป เราจะทำให้ใครก็พอ

ส่วนทุกวันนี้ก็ขายของต่อไป ว่าเราทำอะไรได้บ้าง เผื่อจะมีคนมาเห็น แล้วมาจ้างให้ไปทำอะไรต่ออะไร 555

———————————-

ขอขอบคุณ ลุงวิศวกร สอนคำนวณ มากๆ ที่ได้แสดงความสามารถของคนที่เทพมากๆ ใช้เวลาที่มีจำกัด พัฒนาอะไรเทพๆอออกมาโดยที่ไม่มี Script บทนำล่วงหน้า แถมยังแก้ปัญหาได้เทพมากๆ แทบจะรู้จุดทุก Error ที่เจอเลย สุดยอดมากๆครับ

ใครอยากเรียนเขียนโปรแกรม , Electronics , งานไม้ และอีกหลายๆอย่าง ไปเรียนกับลุงได้ โดยค้นหาด้วยคำว่า “ลุงวิศวกร สอนคำนวณ” ได้เลยครับ

ปล. หลังจบคอร์สนี้ได้เครื่อง POS มือถือกลับมาอีก คุ้มกับค่าเรียนไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว

CategoriesAI Tools for EveryoneToday..what i learn

หลังลองเล่น n8n เพียงไม่กี่ชั่วโมง…

หลังเห็นข่าวพนักงานที่เป็น Dev ของ Microsoft โดนปลดออก (ย้ำว่า Developer ของ Microsoft โดนปลดออก)

ก็สร้างความกังวลให้พนักงาน QA ธรรมดาๆเช่นผมสั่นคลอนเลย

แต่ก็นะ หากสถานการณ์อะไรในอนาคตจะผ่านเข้ามา เราเปลี่ยนมันไม่ได้อยู่แล้ว เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเหมือนสัญญาณที่บอกให้เราระวังตัวไว้ไม่ให้ประมาทกันดีกว่า

==============================================

จากที่ก่อนหน้า ความ Popular เกี่ยวกับ Automation Workflow ได้ผ่านตามาให้ได้รู้จักบ้าง ตัวอย่างเช่น make ที่เพียงแค่เราลากวางอะไรแต่ละอย่าง ก็สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติเลย ก็ได้สร้างความสนใจเรียกร้องให้เราลองหามาเล่น เพึยงแต่เรายังไม่มีเวลาไปศึกษามันอย่างจริงจังในตอนนั้น

จนตอนนี้ได้เวลากลับมาจึงได้ทดลองอย่างจริงๆจังๆ จึงได้เลือก Tool ที่ชื่อ “n8n” แล้วพบว่า

“ดีใจที่ได้รู้จักกันตอนยังมีงานทำอยู่” 555

หลังลองเล่น n8n เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ถึงตอนนี้ห้องทดลองในความคิดก็ยังไม่หยุดพักเลย

ยกตัวอย่างสักสองสามตัวอย่าง ที่น่าจะทำได้ด้วย n8n ได้ดังนี้

Scenario: ผมเป็น Content Creator ที่ต้องผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก โดยใช้ข้อมูลจาก Google Sheets
จึงสร้าง Workflow ด้วย n8n เพื่อให้ ChatGPT สร้างเนื้อหาให้โดยอัตโนมัติ พร้อมจัดการเอกสารและบันทึกผล

Flow:

Trigger:
ใช้ Schedule Trigger ให้ระบบทำงานทุกวัน (หรือเวลาที่ตั้งไว้)
และสามารถกดปุ่ม Test workflow เพื่อเรียกใช้แบบ manual ได้ด้วย

📊 Node: Google Sheets
ดึงข้อมูลจาก Spreadsheet ที่เก็บไอเดีย/หัวข้อที่ต้องการให้ AI ช่วยเขียน
เช่น “นิทานจักรวาล”, “คอนเทนต์ให้แรงบันดาลใจ”, ฯลฯ จากตัวอย่าง 10 รายการ

🔢 Node: Limit
จำกัดจำนวนแถวที่อ่าน เช่น 1–3 แถวแรก เพื่อลดภาระของระบบ และให้ทำงานแบบ Batch

🤖 Node: Gen Content (Tools Agent)
ส่งข้อมูลเข้า AI (เช่น ChatGPT) เพื่อสร้างเนื้อหาตามที่กำหนด
โดยต่อเข้ากับ Node OpenAI Chat Model ซึ่งกำหนด Prompt หรือ Context ที่ใช้

📄 Node: Create doc (Google Docs)
สร้างเอกสารใหม่จากเนื้อหาที่ได้จาก AI โดยกำหนด Format ตามที่ต้องการ เช่น ใส่หัวข้อ ชื่อเรื่อง หรือวันที่

📝 Node: Update doc
เขียนเนื้อหาเพิ่มเติมลงในเอกสาร เช่น ใส่ Metadata, หรือลงท้ายชื่อผู้เขียน

Node: Update done (Google Sheet)
เขียนค่ากลับไปยัง Google Sheet ต้นทาง เช่น

  • อัปเดตสถานะ “✅ เสร็จแล้ว”
  • หรือเขียน URL ของ Google Doc ที่สร้างไว้ เพื่อเก็บลิงก์ (จากตัวอย่างที่กำลังนั่งเรียน เขาจะพาไปสร้างเป็นวิดีโอนิทานเลย)

Scenario: QA ที่ต้องตรวจสอบ API หลายระบบทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า endpoint ต่าง ๆ ยังใช้งานได้ พร้อมรายงานผลให้ทีม Dev,QA แบบรวดเร็วและอัตโนมัติ (ในขณะที่ pipeline ยังสร้างไม่เสร็จ)

Flow:

⏰ Trigger: รันทุกเช้า 08:00 น. ด้วย Cron จาก Scheduler

🌐 Node: ใช้ HTTP Request ยิง API ไปยัง endpoint ทั้งหมดที่ต้องทดสอบ (เช่น 10 จุด)

⚠️ Node: ตรวจ Response → ถ้า Response code ≠ 200 หรือ Timeout → บันทึก log + ระบุ endpoint ที่มีปัญหา + ถ้าผิดปกติ → ส่งแจ้งเตือน LINE / Email (Line ตอนนี้ยังส่งได้ไหมหว่า ?)

✅ Node: ถ้ากลับมาปกติ → แจ้งซ้ำอีกครั้ง ส่ง Summary Report ผ่าน LINE หรือ Email
→ พร้อม Highlight ว่า endpoint ไหนล้มเหลว
→ ระบุเวลาที่เกิด error

📊 Node: Log รายงานการล่ม + เวลาฟื้นกลับ ใน Google Sheet → เก็บเป็นสถิติประจำวัน
→ ใช้เทียบย้อนหลังหรือทำ Dashboard API health report ได้

👉 เหมาะกับ QA ที่ดูแลระบบ API หลายตัว , ทีมที่ต้องการรู้ปัญหาเชิงรุกก่อน User เจอ , ทีมที่กำลังเริ่ม Project ยังไม่มี Pipeline , คนที่อยากใช้เวลาเช้าไปกับ วิเคราะห์คุณภาพ แทนการไล่เช็คแบบ manual


Scenario: เจ้าของกิจการเปิดเว็บให้ลูกค้าเลือกสินค้า แล้วค่อยสั่งจาก 1688/เถาเป่าโดยอัตโนมัติ พร้อมสรุปรายงาน

Flow:

📩 Trigger: มีการ Submit คำสั่งซื้อผ่านหน้าเว็บที่ทำไว้ จากนั้นส่ง Webhook เข้า n8n ให้ทำงาน

📋 Node: อ่านข้อมูลสินค้าจาก DB หรือ Google Sheet

🚚 Node: ไปสั่งของในเว็บจีน หรือผ่าน API Shipping Partner

📊 Node: สรุปรายการสั่งซื้อของวันนั้น ลง Google Sheet

📧 Node: ส่งรายงานรายวันเข้า Email/LINE

👉 เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องการลดงาน manual ในการสั่งของ + ตรวจสอบ + แจ้งยอด (อันนี้คิดเองว่าน่าจะได้ เพราะมีเพื่อนขายของแบบนี้อยู่ ไม่ต้องเสียเวลามากรอกข้อมูล ให้ n8n ทำงานกรอกให้)


ตอนนี้แค่ลองเล่นยังนึก Use Case ออกได้ขนาดนี้
เลยอดคิดไม่ได้ว่า…ถ้าศึกษา n8n ต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน จะสร้างอะไรได้อีกเยอะแค่ไหนกัน?
เอาเป็นว่า…ถ้ามีอะไรใหม่ ๆ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกแน่นอนครับ 😉

CategoriesToday..what i learn

ปล่อยพลังงานออกมาให้โลกเห็น

ได้มีโอกาสไปอ่านเจอว่า Hideo Kojima ผู้กำกับเกมชื่อดัง ประทับใจนักแสดงสาวคนหนึ่งจากโฆษณาน้ำหอม เพราะการเต้นของเธอ
ผมก็เลยไปตามดูโฆษณานั้นด้วยความอยากรู้… แล้วเหมือนโดนสะกดไปเลยครับ

ไม่ใช่แค่เรื่องรูปลักษณ์ หรือท่าเต้นที่ทรงพลัง ๆ ?!
แต่มันมี พลังบางอย่าง ที่เธอส่งออกมา
ความรู้สึกมันชัดเจนมาก จนสัมผัสได้เลยว่า “นี่แหละ พลังงานจริงๆ”

หลังจากนั้น เธอก็ได้มาเป็นหนึ่งในตัวละครของเกม Death Stranding ในบท “Mama”

ที่มา : https://www.ign.com/wikis/death-stranding/Mama_%28Margaret_Qualley%29


เหมือนพลังงานที่เธอปล่อยออกมา มันส่งต่อถึงคนที่มองเห็นได้จริงๆ

เรื่องนี้ทำให้รู้สึกเลยว่า…
พลังงานที่เราเป็น และเราปล่อยออกมา มันไปได้ไกลกว่าที่เราคิด

ไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ
ไม่จำเป็นต้องพยายามพิสูจน์อะไร
แค่ทำหน้าที่ของตัวเองในแบบที่จริงใจที่สุด

ถ้าเรากล้าปล่อยพลังงานจากข้างในออกมา
โลกจะเห็นเอง
คนที่ใช่จะเข้าใจเอง
และบางทีโอกาสในชีวิต… ก็อาจเดินมาหาเราเอง โดยที่เราไม่ต้องวิ่งไล่ตามเลย

CategoriesToday..what i learn

นิทาน โชคดี

 บางที… ความโชคดี มันอาจอยู่ที่มุมมอง

มีช่วงหนึ่งที่ผมนั่งคิดกับตัวเองว่า
“ทำไมชีวิตเราถึงโชคดีจังนะ?”

ไม่ใช่โชคดีแบบถูกรางวัลที่ 1 อะไรแบบนั้นนะ
แต่เป็นความรู้สึกโชคดีเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายๆเรื่อง
จนอดรู้สึกขอบคุณไม่ได้

  • มีงานทำ ในเวลาที่คนมากมายกำลังหางาน
  • มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ช่วยเหลือกัน พูดคุยกันได้อย่างสบายใจ
  • มีโอกาสได้ถ่ายทอดความรู้  ได้เป็นอาจารย์พิเศษ
    ความรู้ที่ได้จากการเตรียมสอน กลับกลายเป็น “พื้นฐานที่แข็งแรง”
    ช่วยสนับสนุนให้ผมทำงานประจำได้ดีขึ้นกว่าเดิม
  • งานที่ทำมีความท้าทาย และยังตรงกับสิ่งที่ผมอยากพัฒนาตัวเอง
    พอลงมือจริง ก็เลยสนุกเหมือนกำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างที่มันถูกออกแบบมาเพื่อเราโดยเฉพาะอยู่
    ไหนจะได้ความรู้ (ปัญหา+วิธีแก้ปัญหา) ที่ได้จากการทำงานในแต่ละวัน ที่กลายมาเป็นประสบการณ์ ช่วยให้เรานำไปต่อยอดถ่ายทอดความรู้หรือประยุกต์กับปัญหาอื่นได้อีกในอนาคตอีก
  • แม้แต่เรื่องเรียนภาษาอังกฤษ… ตอนแรกก็ลังเลอยู่นานว่าจะลงทุนเสียเงินไปลงเรียนเพิ่มกับสถาบันแพงๆดีไหม
    แต่สุดท้ายก็เลือกลงรียนฟรีในคอร์สที่บริษัทจัดหามาให้
    แล้วสุดท้ายบังเอิญได้เจออาจารย์ที่เก่ง สอนสนุก และเต็มไปด้วยพลังงานบวก++
    (อาจารย์คนไทย สำเนียงเป๊ะ แต่คุณภาพเหมือนเจ้าของภาษา แถมยังสอนตามใจผู้เรียนอีก ดีจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเรียนฟรี)

ทุกอย่างที่พูดมา มันเหมือนมีแต่อะไรโชคดีเต็มไปหมด
แต่พอมองลึกๆ ลงไป…
มันอาจไม่ใช่แค่ “โชคดี” อย่างเดียวก็ได้ แต่ทั้งหมดมันคืออะไรนะ


 นิทานของพนักงานสองคน

มีพนักงานสองคน ได้รับโอกาสไปเรียนภาษาอังกฤษฟรีด้วยกัน

คนแรก ยิ้มรับทันที
“กำลังอยากพัฒนาภาษาอังกฤษอยู่พอดี อยู่ๆก็ได้เรียนฟรี ไม่ต้องเสียเงินสักบาท”
แม้จะเหนื่อยจากงาน แต่เขามองว่าการเรียนครั้งนี้คือ “ของขวัญ”
เขาตั้งใจเรียนด้วยใจที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ

คนที่สอง กลับถอนหายใจ
“งานก็เหนื่อยแทบขาดใจอยู่แล้ว ยังต้องเสียเวลามานั่งเรียนอีก”
เขามองการเรียนเป็น “ภาระ” ที่ยิ่งเพิ่มความเหนื่อยล้า

หลายเดือนผ่านไป…
คนแรก ใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตการทำงาน
คนที่สอง ยังอยู่ที่เดิม และเริ่มบ่นว่าทำไมคนอื่นดูโชคดีกว่าตนเองเสมอ



เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา…

พนักงานอีกสองคน
เข้าทำงานในแผนกเดียวกัน วันเดียวกัน เจอหัวหน้าแบบเดียวกัน และได้งานที่ยากพอๆ กัน

พนักงานคนแรก ถูกเรียกว่า “โชคดี”
เพราะเขามองว่างาน แม้จะท้าทาย แต่มันคือโอกาสในการพัฒนาตัวเอง
เจออุปสรรคก็ถามตัวเองว่า
“งานนี้กำลังสอนอะไรฉันอยู่น้า?” แล้วรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้ตลอดเวลา
พร้อมเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

พนักงานคนที่สอง ถูกมองว่า “โชคไม่ค่อยดี”
เพราะเขามองว่างานหนักเกินไป ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่า
มองเห็นแต่ภาระ มากกว่าการเติบโต หลายอย่างที่ทำไปก็ไม่ตรงกับใจเต็มไปหมด

แม้สถานการณ์เหมือนกัน
แต่ปลายทางของสองคนนี้กลับแตกต่างกันคนละทาง


ในทุกครั้งที่ผมเจอสถานการณ์เช่นนี้ 
ผมมักเห็นพนักงานสองคนนี้… กำลัง “ถกเถียงกัน” อยู่ในหัวผมเอง

และสุดท้าย…
เสียงของ “คนที่เลือกมองเห็นโอกาส” ก็มักเป็นฝ่ายชนะ
พาผมเดินไปเจอความโชคดีอยู่เสมอ

บางครั้ง ผมก็นั่งคิดว่า…
ผมควรขอบคุณใครดี?

ขอบคุณคนที่หยิบยื่นโอกาสดีๆ มาให้
หรือ…
ขอบคุณตัวเอง ที่เลือกมองเห็น และเลือกเดินไปบนเส้นทางนั้นด้วยใจที่เชื่อมั่น

แล้วในที่สุด ผมก็คิดได้ว่า…

ผมควรขอบคุณทั้งสองฝ่าย
ขอบคุณคนที่ใจดี+โลกที่ส่งโอกาสมาให้
และอยากจะขอบคุณตัวเอง… ที่ไม่ปิดโอกาสรับมันไป

 ฉันใดก็ฉันนั้น…

เรื่องนี้มันคล้ายๆ กับเรื่องไก่กับไข่
ที่เราอาจไม่รู้ได้แน่ชัดว่า “อะไรเกิดก่อนกัน”
แต่เราสามารถรู้ได้ว่า…

  • ต้องมีไก่ ถึงจะมีไข่
  • และต้องมีไข่ ถึงจะมีไก่ได้เช่นกัน

โชคดี และ โชคร้าย ก็เป็นแบบนั้น
ในโชคดี… ก็มีเงาเล็กๆ ของโชคร้ายซ่อนอยู่
ในโชคร้าย… ก็มีแสงบางๆ ของโชคดีรอให้ค้นหาอยู่เสมอ

ทั้งหมดคือส่วนผสมเดียวกัน
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกมอง “ด้านไหน” ของชีวิตในแต่ละช่วงเวลา


 สุดท้ายนี้…

บางที… เราไม่ต้องรอให้โลกใจดีกับเราก่อน
แค่เราเลือก “ยิ้มให้โลกก่อน”
โชคดีเล็กๆ น้อยๆ ก็จะค่อยๆ แวะมาหาเราเอง… 

“โชคดี ไม่ได้เริ่มจากสิ่งที่เราได้รับ แต่เริ่มจากตัวเราที่พร้อมมองเห็นสิ่งดีๆ ในทุกวัน” 🍀