CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

Coursera : Project Initiation: Starting a Successful ProjectCoursera :

ต่อกันที่ตอนที่ 2/6 ของ Google Project Management ที่ตอนนี้มาว่ากันด้วยเรื่องการจัดการ Project ในส่วนของการเริ่มต้น

หลักๆเลย หัวข้อนี้จะสอนเกี่ยวกับ
-หลักการ SMART (Specific , Measurable , Attainable , Relevant , Time-bound)
-OKR
-Scope creep
-ข้อจำกัด 3 ประการกับการจัดการ Project (Time , Cost , Scope)
-การวัดผลสำเร็จของ Project
-รู้จักกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ Project (Stakeholders , team roles and responsibilities)
-การใช้ Tools เพื่อการจัดการการทำงานร่วมกัน
-มอบหมายงานแต่ละตำแหน่งด้วย RACI Chart

แม้จะเป็นหัวข้อหนึ่งที่ยาว แต่ระหว่างเรียนก็ตั้งใจเรียน เรียนแบบไม่เร่งรีบ ค่อยๆซึมซับ ค่อยๆจดลงไป เพราะที่ผ่านมาตัวเองมี Pain เกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการ Project เนื่องจากหัวหน้าในตอนนั้นคาดหวังว่าเราจะจัดการทีมได้ดี แต่ผลที่ออกมามันไม่ดีเลย และก็จาก Pain ตัวนี้เอง ที่ทำให้ตัวเราอยากปิด Gap เรื่องนี้มากๆ เลยยิ่งใส่ใจในทุกๆเรื่องที่ทีมอาจารย์ฯสอน

เบื้องต้นก็อยากจะเขียนแหล่ะว่าหลักการแต่ละอย่างมันทำอะไร แต่คิดว่าหากเขียนไปมันคงยาว เอาเป็นว่าหากอยากรู้ ก็เอา Keywords ไปค้นหาแล้วอ่านตามต่อจะดีกว่า น่าจะได้ความรู้ที่ครบถ้วนกว่านี้ เอาเป็นว่าใครอยากเรียนรู้เรื่องการบริหาร Project จาก Google ก็มาลงเรียนกันได้เลย

https://www.coursera.org/account/accomplishments/verify/L5R95EGSAE46

The true delight is in the finding out rather than in the knowing.

Isaac Asimov
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

CodingThailand : Kubernetes (k8s) สำหรับ Web Developer

นั่งเรียนเรื่อง Kubernetes มา 3 วัน กับอาจารย์เอก CodingThailand เกี่ยวกับการทำให้ระบบ server ของเรารองรับ Zero Downtime สำหรับการ Update Version ของ App เรา กับอีกเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ Auto Scale หรือทำให้ระบบของเรารองรับการขยายตัวเอง เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีคนเข้ามาใช้งานเยอะๆในเว็บ ภายในช่วงเวลาหนึ่ง แล้ว CPU หรือ Ram สูงถึงค่าที่เรากำหนดไว้ ให้ไปเรียก Service ตัวอื่นมาช่วยกันรองรับ Load ในเวลานั้น

ความสนุกที่สุดในคอร์สนี้ น่าจะเป็นตอนที่เปิด Dashboard เพื่อ Check Service (pods) ของเรา ที่กำลัง Run อยู่ แล้วเห็นว่าจังหวะที่เรา Apply app version ใหม่เข้ามา ตัว App เดิม มันไม่ล่มจริงๆ (ตามภาพ)

คือจังหวะนี้ (จังหวะ Update Version ของ App เรา ) หากลูกค้าเข้ามาเรียกหน้า App ของบริษัท บางคนจะได้ App Version ที่ 1 บางคนจะได้ App version ที่ 2 ปนๆกันไป จนกว่า App Version ใหม่ทยอยเกิดขึ้นมาครบทุกตัวและปิด App version เก่าทั้งหมดทิ้งไป นอกจากนั้นก็จะเป็นเรื่องการสร้าง Services : Frontend,Backend,Database และใช้ Config file ให้แต่ละตัวคุยกันได้

หลังเรียนเสร็จ เริ่มมีความคิดว่า “ยิ่งเรียน ยิ่งไม่รู้” เพราะหากเราจะเรียนให้รู้ในเรื่องนี้ให้เข้าใจมากจริงๆ คือมันต้องขุดลงไปให้ลึก หรือเรียนเรื่องการ Config ให้รองรับงานในแต่ละแบบให้เป็น ซึ่งกว่าจะทำให้งานมันดีพอ กับ Production ได้คงต้อง Take อีกหลาย Course แน่ๆเลย…

But need alone is not enough to set power free: there must be knowledge.

Ursula K. Le Guin
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skooldio : Tactical Domain Driven Design

เลือกเรียนในหัวข้อนี้ เนื่องจากคำโปรยที่พูดเรื่องของการพัฒนาโซลูชันที่หากไม่สอดคล้องกับปัญหาทางธุรกิจ จะทำให้ระบบยากต่อการปรับปรุงหรือทำให้โปรเจคนั้นไปต่อได้ยาก โดยคอร์สนี้โฟกัสที่ Domain Driven Design ที่เน้นการเขียนโค้ดให้สอดคล้องกับโดเมนธุรกิจ

ในระหว่างที่เรียนไป ก็ยังสับสน เพราะส่วนตัวไม่ได้มาทางการเขียน Code ในแนว OOP หรือเริ่มโปรเจคจาก DDD มากขนาดนั้น คาดว่าหลังจากนี้คงต้องกลับมาเรียนซ้ำเพื่อเพิ่มความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เข้มข้นขึ้น และคิดว่าหากจะเรียนจนถึงขนาดนำมาถ่ายทอดได้ขนาดนี้ คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

https://www.skooldio.com/certificate/4442a44f-3fe8-4d78-a747-adadc3dc07d1

Everybody gets so much information all day long that they lose their common sense.

Gertrude Stein.
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skooldio : OOP The Right Way

คอร์ส “OOP The Right Way” เป็นคอร์สการสอนพื้นฐานของ Concept การเขียนโปรแกรมในรูปแบบ Object-Oriented Programming (OOP) และการนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ที่มีทีมงานในการพัฒนาหลายทีม

ผู้บรรยาย ได้บรรยายครอบคลุมตั้งแต่ความเป็นมา ความแตกต่างจากการเขียนโปรแกรมในรูปแบบอื่นๆ ปัญหาที่ OOP สามารถนำไปแก้ไข โดยยกตัวอย่าง Real World Case Study และการออกแบบระบบที่ดีตามแนวคิด OOP

ระหว่างที่เรียน มีการยกตัวอย่างการเขียน OOP ด้วยภาษา Type Script มาให้ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ร่วมไปด้วย

เป็นคอร์สที่เรียนจบแล้ว อยากกลับมาเรียนซ้ำอีกครั้ง….

https://www.skooldio.com/certificate/f4369b9e-f84a-4fa7-8942-aad69e64532f

True ignorance is not the absence of knowledge, but the refusal to acquire it.

Karl R. Popper
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skooldio : Software Architecture Design

มาต่อกันที่ Course : Software Architecture Design

คอร์สนี้เป็นคอร์สที่เกี่ยวกับ Software Architecture Pattern ที่เน้นการร่วมมือระหว่างทีมในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การทำงานของทีมพัฒนา, การทำงานร่วมกับทีมธุรกิจ , การออกแบบการทำงานร่วมกัน, การประสานงานในองค์กรขนาดใหญ่, เพื่อเพิ่มความเข้าใจและเลือกใช้ Pattern ที่เหมาะสมกับโมเดลและงานขององค์กร ที่จะนำมาใช้งาน

ระหว่างที่นั่งฟังไปแล้วจินตนาการถึงความเก่งของผู้บรรยาย ก็ถึงกับอึ้ง เพราะผู้บรรยายมีความรู้และยกตัวอย่างมาจากประสบการณ์จริง หลายเรื่องแล้วคิดว่า หากเราเสียเวลาไปอ่านหนังสือหรือศึกษาเอง อาจยังไม่ได้เท่ากับที่ผู้บรรยายคนนี้มาเล่าให้ฟัง

จบเรื่องนี้ ทำให้คิดว่าเราคงต้องเรียนเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมฯไปอีกหลายเรื่องแน่ๆ

https://www.skooldio.com/certificate/fdabd1da-b100-435d-8e6e-a6a5ecb54dc6

Small minds have always lashed out at what they don’t understand.

–Dan Brown
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skooldio : Purpose-built Database

อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับ Database ในโลกปัจจุบันว่าไปถึงไหน เพราะไม่เคยได้ Update ความรู้ใดๆ ตั้งแต่ใช้ Relational Database เป็น เลยเป็นที่มาให้มาเรียนคอร์สนี้

คอร์สนี้สอนเกี่ยวกับ Database แต่ละประเภท ว่ามีประเภทอะไรบ้าง , การเลือกใช้ Database ให้เหมาะสำหรับการใช้งานต่างๆ รวมไปถึงการนำ Best practice ที่สามารถนำไปใช้จริงได้ในงาน Production ปิดจบด้วยการประยุกต์ทฤษฏีและความรู้ทั้งหมดกับโจทย์จริงที่ทางผู้บรรยายได้เตรียมมา

หลังเรียนจบ ทำให้อยากไป Take Course NoSQL เพิ่มเติม…

https://www.skooldio.com/certificate/cf7eaa45-24ca-4cf4-b823-91a063f8c50a

I have always thirsted for knowledge, I have always been full of questions.

Hermann Hesse
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skooldio : How to Become a Better Programmer

จุดประสงค์การเรียนในครั้งนี้ คือหวังจะ Re-skill ทางด้านการเขียนโปรแกรมของตัวเอง ให้มันชัดขึ้นมาบ้าง

โดยคอร์สนี้เป็นคอร์สที่พูดถึงสิ่งสำคัญในการทำงานเป็น Programmer ที่ดี ไม่ว่าจะเป็น System Design , Keyword ต่าง ๆ , Technical Skill และ Soft Skill ที่สำคัญในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ดี ว่าจะต้องมีอะไรบ้าง และหัวข้อ Common Mistakes หรือข้อผิดพลาดที่ Programmer มักทำผิดพลาดกันบ่อย ๆ เช่น Overpromise , Under deliver , Avoid Test , Ignore Cleancode รวมถึงวิธีแก้หรือหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น

ระหว่างที่นั่งเรียนประทับใจกับผู้บรรยายที่มาถ่ายทอดความรู้มากๆ เหมือนมานั่งฟังคนที่มีประสบการณ์ มาเล่าบอก Best Practice วิธีการทำงานในสายงานนี้ ว่ามีอะไรบ้าง เช่น เรื่องที่ควรรู้ หรือเรื่องที่ควรเลี่ยง

โดยรวมแล้วรู้สึกคุ้มค่ามาก

https://www.skooldio.com/certificate/19048b73-f76e-42fb-a9ed-553dd1332ede

There are in fact two things, science and opinion; the former begets knowledge, the latter ignorance.

Hippocrates.
CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

Coursera : Foundations of Project Management

เริ่มเรียนเรื่อง “Google Project Management Certificate”

เพื่อหวังจะปิด Gap เรื่อง Skill บริหารทีมของตัวเองที่มีอยู่น้อยนิด แต่กลับไปส่งผลกระทบหลักๆกับการทำงานที่ทำในปัจจุบัน

หลังเรียนจบไป 1 Course จากทั้งหมด 6 Course แล้วรู้สึกอึ้ง ในวิธีการทำงานของ Google มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจ้างพนักงานบาร์เทนเดอร์ เพื่อมาเป็นผู้จัดการโครงการ ที่ขอแค่คุณมีมุมมองความเข้าใจลูกค้า คุณก็น่าจะสามารถเป็นผู้จัดการโครงการได้ (แล้วบาร์เทนเดอร์ผู้นั้น ก็มาเป็น 1 ใน Speaker ผู้เล่าเรื่องให้ผู้เรียนฟังแถมยังทำงานกับ Google มาเป็น 10 ปี)

หรืออีกเรื่องก็คือเรื่องของ Process การบริหารงาน จากเดิมที่เคยคิดว่า Agile มันน่าจะเจ๋งสุด ดีที่สุดกับทุกงาน

แต่หลังเรียนไปแค่ 1 Course กลับพบว่า Google นั้นยืดหยุ่นมาก ไม่ใช้กระบวนการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่ใช้ทั้ง Agile , Water Fall , Six sigma มาทำงานร่วมกัน ให้เหมาะไปกับงานในแต่ละประเภทที่จะต้องทำงานด้วยนั่นเอง

หลังจบ Course แรก คิดว่าส่วนที่ยากที่สุด ของงานนี้ น่าจะเป็น Interpersonal skill (ทักษะการสื่อสารกับทีม หรือทักษะการสื่อสารกับบุคคล) เพราะความไม่เหมือนในวัฒนธรรมต่างชาติ ที่มีอะไรแล้วพูดตรงๆ กับวัฒนธรรมไทยที่มีอะไรแล้วไม่พูดแต่เก็บเงียบ หรือบางทีเลือกเอาไปนินทา แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่สื่อสาร ทำให้ทีมขาด Motivate (แรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน) ซึ่งเจ้าส่วนนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่เป็นตัวชี้วัด ว่างานมันจะไปได้ดีหรือมีปัญหา ก็สามารถดูกันได้ที่ตรงนี้แหล่ะ

https://coursera.org/share/8a5ec141f1a3c075299f017323bf7021

All men by nature desire to know.

Aristotle
CategoriesEnglish...My Practiced

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 6,000 นาที (6 เดือน)

รีวิวการเรียนภาษากับชาวต่างชาติ เป็นเวลา 6,000 นาที

หลังจากที่เรียนภาษามาเป็นเวลา 6 เดือน ในตอนนี้มีความมั่นใจกับการพูดมากขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะยังพูดได้ไม่ถูกหลัก หรือยังพูดโดยใช้คำศัพท์ผิดอยู่ แต่โดยรวมยังถือว่ามั่นใจดี

ระหว่างเรียนพยายามหาเทคนิคอะไรให้ประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในระหว่างเรียน อาจารย์ชาวต่างชาติก็ได้บอกกับตัวผมมาว่า “คุณน่าจะฟัง Podcast หรือดูซีรีย์เพิ่มนะ มันจะช่วยให้คุณเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น” พอมีใครมาบอกอะไรให้ผมแบบนี้ ส่วนตัวก็เชื่อคนง่ายอยู่แล้วและเชื่อว่าดี จึงขอลองดู

เริ่มต้นที่การดูซีรีย์
ส่วนตัวผมเลือกเอาซีรีย์เรื่อง Friends ซีรีย์เรื่องดังที่ครูหลายคนแนะนำ

เพราะชอบในเนื้อเรื่องที่ไม่ซีเรียส และที่ชอบอีกอย่างคือเจนิสเฟอร์ อนิสตัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นซีรีย์เบาสมอง ดูสนุก เหมาะกับการเรียนรู้ศัพท์การพูดในชีวิตประจำวัน คำพูดที่ใช้ก็ไม่ได้ยากหรือง่ายจนเกินไป เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้เรื่องภาษาอังกฤษมาสักระยะหนึ่ง

แม้ว่าทางเลือกการเรียนแบบนี้จะดี แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่สามารถหาเวลาว่างนานๆ มานั่งดูให้เป็นกิจลักษณะได้ เลยพับโครงการการนั่งดูซีรีย์ไป……

มาต่อกันที่การฟัง Podcast
อันนี้เป็นแนวทางที่กำลังทำอยู่ คือเปิด Podcast ฟังระหว่างขับรถ หรือระหว่างการทำงาน โดยช่องที่ฟัง เป็นช่อง “Listenning Time” ของ Spotify ความชอบส่วนตัวที่มีต่อช่องนี้ คือผู้พูดใช้การพูดที่ช้า และมีความหลากหลายในหัวข้อที่พูด จึงทำให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆไปในหลายหัวข้อ

ช่องนี้เหมาะสำหรับคนที่มีระดับภาษาอังกฤษตั้งแต่ A2 – B2 ที่ไม่สูงมาก และอยากฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น ซึ่งส่วนตัวที่ได้ลองฟัง คิดว่าดีมากๆเลย

มีอยู่หัวข้อหนึ่งในช่องนี้ ได้พูดถึงปัญหาการเรียนที่พบเจอในผู้เรียนภาษาอังกฤษ ที่มักประสบความสำเร็จในช่วงแรก หรือมองเห็น Progress ที่มันเพิ่มขึ้นในช่วงแรก หลังจากนั้นกลับคิดว่าภาษาของตัวเองไม่ดีขึ้น ซึ่งครั้งแรกที่อ่านชื่อหัวข้อนี้มันตรงกับตัวผมเองเลย เพราะทุกวันที่เรามาคุยกับคุณครู เราเหมือนไม่พัฒนาขึ้นเลย

ในหัวข้อนั้นก็บอก Tips ที่เหมือนไม่สำคัญแต่สำคัญมาก นั่นคือฟังให้บ่อย ใช้ให้บ่อย แล้วมันจะดีเอง

ในตัวอย่าง ผู้พูดแจ้งว่า มีนักเรียนคนหนึ่ง ฟัง Podcast ตอนละ 25 นาที เขาฟังตอนเดียวกันนั้น 4 รอบ และใช้เวลา 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลังจากนั้นทักษะด้านภาษาของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก

ย้อนกลับมามองตัวเอง ผมเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองผ่านการใช้งาน App Doulingo ในมือถือวันละ 10 นาที เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นผมเริ่มรู้สึกว่า “ผมฟังภาษาอังกฤษได้” พอมาคิดดูดีๆ ว่าถ้าหากผมเพิ่มเวลาการเรียนขึ้นมาสักหน่อย เป็นวันละ 30 นาที ผมอาจจะลดเวลาการเรียนอังกฤษ จนเข้าใจภาษาอังกฤษได้ ภายในระยะเวลา 1 ปีก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ฮ่าๆๆ

ตอนนี้ ใช้การฟัง Podcast เพื่อจดจำวิธีการใช้ศัพท์และทักษะการฟัง จากนั้นเอามาประยุกต์ใช้กับการพูดใน Platform Engoo แล้วพึงพอใจ คิดว่าจะทำต่อไปจนกว่าจะทำได้ดี…

จบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้

ขอบคุณครับ

CategoriesInspiration...My self-Improvement

INFJ : ผู้สนับสนุน

เคยมีความคิดว่าตัวเองแปลก ที่มีนิสัยอย่างที่เป็น เช่น ทำไมชอบเรียนรู้ ทำไมชอบทำนั่นนี่ ทำไมชอบคิดประยุกต์เอาเทคโนโลยีมารวมกัน ทำไมชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำไมชอบไปแชร์ความรู้ และอีกหลายๆอย่างความสงสัย ว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้

จนได้มาเจอกับเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับทำแบบสอบถาม ว่าคนแบบเรา หากเจอสถานการณ์ตามที่แบบสอบถามวางไว้ เราจะตอบกลับสถานการณ์ต่างๆนั้นอย่างไร แล้วก็ได้มาเป็น…
(ใครอยากลองทำแบบสอบถาม สามารถเข้าไปได้ที่ Link นี้ : https://www.16personalities.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E?fbclid=IwAR2t8h8mJJ4xe1nk-7RY1YMCIVS4jetyFH_a4Xx5aAA_s4swPp3_Xn-O8eE)

ความสนุกมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเราอ่านผลว่าคนประเภทนี้มีนิสัยอย่างไร ซึ่งก็ไปเจอ Youtube อยู่ช่องหนึ่ง ที่อธิบายคนประเภท INFJ ออกมาได้ดีเลย (ถูกใจมาก เนื่องจากตอนแรกคิดว่าตัวเราแปลก สรุปแล้ว เราเป็น INFJ นั่นเอง 555)

หลังดูจบทำให้ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ไม่มองว่าตัวเราเองแปลกเหมือนเดิม

ใครอยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน และอยากรู้ว่าสิ่งไหนเหมาะกับตัวเอง สามารถทำแบบทดสอบแล้วลองหาช่อง Youtube อธิบายลักษณะของคนแต่ละประเภทตามที่ได้ผลลัพธ์กันได้เลย

CategoriesTechnology...My interested

Ubuntu Server

หัวข้อวันนี้ เป็นเรื่อง Ubuntu Server….

สาเหตุที่เรียน เพียงเพื่อที่จะปิด Gap ให้ตัวเอง เพราะ Ubuntu เป็น OS Linux ที่รู้จักตั้งแต่สมัยเรียน ป.ตรี แต่พึ่งมาทำความรู้จักกับ OS นี้เมื่อไม่นานนี่เอง ทำให้วันนี้ขอเสียเวลาเรียนรู้มันให้สิ้นสงสัยกันไป เผื่อในอนาคตจะต้องทำโปรเจคหรือว่าไปยุ่งกับ linux จะได้มีความเข้าใจมันบ้าง

จากที่ทำงานเดิม เป็นแค่พนักงานที่ใช้งาน Linux ได้ รู้จัก Linux Command เบื้องต้น ไม่ได้ลงลึกไปมากกว่านั้น สิ่งที่ทำได้กับ Linux คือแค่เปิดไปหน้านั้นนี่ได้ , Move file ได้ , ย้าย Folder เป็น , เปิดไฟล์ด้วย VI หรือ Nano ได้เท่านั้น แต่หากถามว่ารู้อะไรมากกว่านี้มั้ย กับระบบปฏิบัติการ Linux พวกนี้ ต้องตอบตรงนี้เลยว่าไม่

เลยเป็นที่มา ให้มา Take Course หัวข้อนี้ โดยในส่วนที่เรียนมีความยาวกว่า 16 ชั่วโมงประกอบไปด้วยรายละเอียดดังนี้

Install Ubuntu Server22.04 on VirtualBox
Lesson1 Introducing
Lesson2_Package Management
Lesson3_Access the Command Line and Help
Lesson4_Architecture File Systems
Lesson5_File and Directory
เสริม_Lesson5_File and Directory การใช้ vi_vi_nano  เพื่อจัดการไฟล์และไดเรคทอรี
Lesson6_Users and Groups Management
Lesson7_Configuration and Management sudo
Lesson8_Permission Users and Groups
Lesson9_Managing Files with ACL
Lesson10_Firewall with UFW
Lesson11_OpenSSH
เสริม Lesson11 OpenSSH_การเปลี่ยน port 22 บน Ubuntu Server
Lesson12_Archiving and Transferring Files
Lesson13_Networking Configuration
Lesson14_Managing disk partition
Lesson15_Managing Logical Volume Management(LVM) Storage
Lesson16_Log Management and Investigate Log with Splunk SIEM Product
Pro_Linux1
เสริม_ล็อกอินด้วย User root 
เสริม_สแกน port ด้วย nmap บน Ubuntu Server

หลังเรียนจบ พบว่าเราเข้าใจเรื่อง Permission บน Linux มากขึ้น เช่น User , Group , Other อะไรพวกนี้ พออ่านแล้วเข้าใจได้เลย ค่าเช่นพวก 777 บนไฟล์หรือโฟลเดอร์ ที่ก่อนหน้าเราไม่เคยรู้ “ทำไมต้อง 777 และ 777 มีที่มาที่ไปอย่างไร” ตอนนี้ก็ได้รู้ รวมถึงหลายๆคำสั่ง หลายๆ Lab ก็มีประโยชน์กับเรามาก ไม่ว่าจะเป็น
-man [command] > Command ที่ใช้สำหรับอธิบาย ว่าแต่ละ Command ทำหน้าที่อะไร ที่พอเรียนเสร็จแล้วสงสัย ว่าทำไมก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักคำสั่งนี้มาก่อนนะ เพราะพอเรียนเสร็จรู้สึกว่า Linux นั้นง่ายไปเลย 5555

-history (vi .bash_history) คำสั่ง History ที่ใช้สำหรับเอาไว้ดู ว่าคำสั่งก่อนหน้าที่ User คนที่เรา login อยู่ใช้งานคำสั่งอะไรไปบ้าง อันนี้ส่วนตัวชอบมาก เพราะทำให้รู้ว่า User คนก่อน พิมพ์อะไรไปบ้าง เมื่อเข้าใช้ User นั้น login เข้ามา

-แก้ Port remote ssh > อันนี้ในระหว่างที่เรียน มี Lab ให้เปิด Port สำหรับ Remote แต่เนื่องจากใช้เวลาเรียนไปหลายวัน ทำให้ลืมไปว่า วันก่อนที่เราเรียนไป เราแก้ไปเป็น port อะไร 555

-เช็ค Log การ Login ด้วยคำสั่ง tail -f /var/log/auth.log

จริงๆมีอีกหลาย labs ที่น่าสนใจ แต่หากให้เล่าคงเล่าไม่หมด ขอเอาแค่ที่ประทับใจอย่างเดียวก็พอ

ตอนนี้มีไอเดีย หาเรื่องเสียเงิน ว่าจะซื้อเอา Raspberry PI5 Ram 8GB มาลง OS Ubuntu Server เอา Docker ลง แล้วสั่ง Run Website Project งานของเราไว้ในนั้น มีการกั้น NginX จากนั้นไปเปิด Static IP กับ AIS ผูกกับ Domain Name ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว และลอง Load Test เข้ามาเข้าบ้านตัวเองดูว่า Raspberry PI มันจะลองรับ Load ได้แค่ไหนทำแบบเป็น Web Production ไปเลยได้จริงหรือเปล่า เผื่อจะได้ทำไปแชร์ให้คนอื่น (ยังไงก็กลัวกลุ่ม Hack ที่มา Scan Port แล้วเข้ามาควบคุม Server เราได้อยู่ดีนะ)

คอร์สนี้เหมาะกับใคร ?
คอร์สนี้เหมาะกับคนที่อยากรู้เรื่อง Linux เพื่มความเข้าใจเรื่อง Permission หรือนำไปต่อยอดกับงานด้าน Cloud หรืองานดูแล เช่นด้าน Infrastructure หรือใครที่กำลังสนใจในเรื่องเจาะระบบ คนที่กำลังจะไปเป็น Hacker ก็สามารถมาเรียนได้

หากใครสนใจอยากเรียนหัวข้อนี้ สามารถเข้าไปติดตามกันได้ที่ Line : @linux เพื่อที่จะสอบถามรายละเอียดและราคากับเจ้าของคอร์สในนั้นได้เลย (อยากเล่าประสบการณ์ความช้ำใจส่วนตัว คือตอนที่ซื้อคอร์ส มีการซื้อคอร์สอื่นๆร่วมด้วย และเราเองในตอนนั้นได้แต่ละคอร์สในราคาที่ถูก แต่หลังจากที่ซื้อไป พี่เจ้าของกลับไปลดราคาลงอีก ผมนี่เสียดายเงินจากที่ซื้อในตอนแรกเลย 5555)

There is no wealth like knowledge, no poverty like ignorance.

–Buddha.
CategoriesTechnology...My interested

OpenThaiGPT

ตั้งใจเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง จากโจทย์ที่ว่า หากเราต้องการจะทำ AI Chatbot ขึ้นมาเอง เราต้องศึกษาเรียนรู้อะไรบ้าง เลยเป็นที่มาให้มาเรียนหัวข้อนี้

อันที่จริงนอกจากหัวข้อที่กล่าวไป คือบริษัทที่ตัวเราเองกำลังทำงานอยู่ตอนนี้ ได้มีการเอา AI Chatbot + Image Processing หรือ OCR ต่างๆเข้ามาร่วมใช้งาน จึงทำให้อยากรู้ว่า ในมุมของคนที่ทำงานเป็น QA Engineer ฝั่ง Software เนี่ย หากต้องการอยากจะประยุกต์การทดสอบร่วมกับการทำงานกับพวก AI , Machine Learning พวกนี้ มันจะเป็นไปได้ไหม (เท่าที่เรียนวันนี้ คนที่ทำงานฝั่งนักทดสอบระบบฯ ไม่น่าจะได้แตะงานส่วนนี้เลยนะ อาจมีได้แตะคือในส่วนงานการตรวจสอบพวก Train Data ว่ามีการใส่ค่ามาถูกต้องหรือเปล่า จากนั้นก็ไปทดสอบที่ทางปลายทางเลย คือ Input คำถามอะไรไป แล้วได้ค่าตามที่คาดหวังหรือเปล่า ประมาณนี้)

หัวข้อการเรียนในวันนี้ มีตั้งแต่
-Large Language Models ( LLM ) ,GPT-2 ,GPT-3 ,GPT-4 คืออะไร
-NLP ( chatGPT ) คืออะไร
-พื้นฐานการใช้งาน Colab
-Workshop : OpenThaiGPT-1.0.0-beta (GPT-3.5) + Gradio Web Interface
-Workshop : Fine-tuning OpenThaiGPT-1.0.0-beta ด้วย Dataset ของเราเอง
-Workshop : ทำ Gradio Web chatGPT

หลังเรียนจบไป ได้วิธีการ Train Data และการเรียกใช้งานมาเบื้องต้น แต่ถ้าถามว่าหากเราจะทำเองตั้งแต่ต้น และต้องสอนให้มันเข้าใจในบริบทต่างได้เองนั้น อันนี้ยังไม่มั่นใจ เพราะการทำเช่นนั้นได้ เราจะต้องเตรียมพวก Train Data เช่นหากเรามีผลิตภัณฑ์ภายในบริษัทของเรา เราคิดว่าเราจะเจอคำถามแบบไหน แล้วหากเราเจอคำถามแบบนั้นเข้ามา เราจะตอบกลับไปอย่างไร ซึ่งคิดว่าหากเรามีสิ่งต่างๆเหล่านี้เตรียมพร้อมไว้ การทำให้ AI (ตามที่เรียนในหัวข้อนี้) น่าจะตอบกลับไปได้

หรือใครอยากทำให้สิ่งนี้มีความรู้ในเรื่องของกฏหมาย หรือความรู้ของหมออะไรพวกนี้ ก็จะต้องสร้าง Data Train ดีๆส่งให้กับมัน จากนั้นค่อยให้มันเรียนรู้แล้วตอบเรากลับมา (ที่เรียนในวันนี้ เป็นตัวอย่างการถามตอบ โดยเอา Train Data มาจาก Website Pantip เว็บบอร์ดของไทย ทำให้เวลาที่ถามอะไรพี่เขาไป พี่เขาตอบกลับมาห้วนเหลือเกิน ฮ่าๆๆๆ)

หากใครอยากจะทำเรื่องต่างๆเหล่านี้ ต้องบอกเลยว่า ไม่ใช่แค่มีความรู้เรื่องการสร้างปัญญาประดิษฐ์ แล้วจะทำพวกนี้ขึ้นมาได้ เพราะสิ่งที่จำเป็นนอกจากนั้น คือผู้ทำจะต้องมีทรัพยากรเป็นเงินสำหรับเครื่องที่ใช้ในการ Train ข้อมูล , ต้องมีคนเพื่อช่วยกันสร้าง Train Data ที่ดี , ต้องมีเวลาเพียงพอเพื่อที่จะทำให้การ Train Data ออกมาได้คลอบคลุม รองรับการตอบคำถามด้วยดี

ซึ่งเรื่องนี้มันจะยากขึ้นมาเลยสำหรับใครก็ตามที่เป็นนักพัฒนา Individual ไม่ได้สังกัดองค์กร และอยากจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อใช้สนับสนุนงานอดิเรกของตัวเอง (Colab ของ Google น่าจะอยู่ที่ประมาณ 70 ชั่วโมงต่อการเทรนแบบ 16 Bit 7 tb ในราคา 300 กว่าบาท )

ถามว่าจะเอาความรู้นี้ไปประยุกต์อะไรได้บ้าง ?!
ต้องบอกเลยว่าตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่คิดว่าการรู้วิธีทำเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น จนขึ้นโครงได้ น่าจะเป็นพื้นฐานการศึกษาที่ดี ที่เราจะเอาไปต่อยอดในเรื่องอื่นต่อได้ในอนาคต

ลืมบอกไปว่าตอนเรียนในหัวข้อเรื่อง “เขียนโค้ดยามว่าง : หลักสูตรพัฒนาบอทเกมส์ด้วยภาษา Python ร่วมกับ OpenCV และ LdPlayer” มีการประยุกต์ใช้งาน Python + Machine Leaning ที่ทำให้เราพอเข้าใจ Concept พื้นฐานในวันนั้น

พอมาถึงวันนี้ การเรียนเรื่อง OpenThaiGPT ทำให้เรามีความรู้สึกดีใจ ก็เพราะว่าความรู้ที่ผ่านมาวันนั้นไม่ได้สูญเปล่า สามารถเอามาต่อยอดในสิ่งที่เรียนในวันนี้ได้ โดยสิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 2 คอร์ส คือเรื่องของการใช้งานความสามารถของ Cuda บนการ์ดจอ + การส่ง Data ไปเทรนเหมือนๆกัน แตกต่างกันเพียง หัวข้อการทำบอทใช้การเทรนรูปภาพ ส่วนหัวข้อในวันนี้ ใช้การเทรนในส่วนของข้อความเท่านั้นเอง

หากใครอยากรู้ว่าหัวข้อนี้สามารถเรียนตามได้ที่ไหน? ต้องขอแนะนำว่าสามารถกดตามได้ที่ลิ้งค์นี้เลย > Soft Power Group

ก่อนจบไป ได้ Key Takeaways ดังนี้
-Cuda
-Pretrained
-Fine Tune
-Lora
-Lama
-Yolo7 , Yolo8 (อันนี้แถม แต่เอามาช่วยเรื่องทำความเข้าใจรูปภาพ)

เอาความรู้อีกจุดลงไปเพิ่มลงให้สมอง และภาวนาบอกกับสมองไปว่า “จง Connect , จง Connect , จง Connect”….

We are drowning in information but starved for knowledge.

John Naisbitt.