CategoriesTechnology...My interested

Skooldio : AWS: Cloud Essentials and Core Services

เป็นคอร์ส AWS จาก Skooldio ที่หากคุณเป็นคนชอบเรียนคอร์ส IT ภาษาไทย ที่มีมาตรฐานจาก Skooldio อยู่แล้ว เมื่อมีคอร์สใหม่ออกมา เชื่อว่าคุณจะเลือกลงเรียนโดยไม่ลังเลเลย

คอร์สนี้สอนเกี่ยวกับอะไร ?
คอร์สนี้เป็นคอร์สสอนการใช้งาน AWS เบื้องต้น มี Hand – On ให้ทำ โดยหลักๆแล้วคอร์สนี้จะพาไปรู้จักกับ Core Services ของ AWS แต่ละตัวไม่ว่าจะเป็น

-Account , Users & Permission ที่จำเป็นต้องรู้ก่อน เมื่อเริ่มใช้งาน AWS
-EC2
-S3
-RDS
-VPC


คอร์สนี้เหมาะกับใคร ?!
คอร์สนี้เหมาะกับคนที่อยากเรียนรู้เรื่อง AWS พื้นฐาน เพื่อที่จะไปต่อยอดเรียนรู้เรื่องบริการอื่นๆของ AWS ต่อไป

หลังเรียนจบ มีความรู้สึกอย่างไร ?
ตอนนี้คิดว่ายังงงๆอยู่ ในเรื่องของ Permission แต่ละตัว ที่ตอนแรกนั่งเรียน เห็นว่า AWS Provide มาให้เยอะเหลือเกิน Best Practice ที่ควรเลือกใช้จริงๆ เราควรเลือกอันไหนนะ ระหว่างเรียนยัง Config ไม่เป็น ก็เลือก Set แบบ FullAccess ไปก่อน แต่คิดว่าหากอยากเก่งในสายงานนี้หรือ Config ได้เก่งจนถึงขนาดมี Cer รับรอง คงต้องไป Takecourse มากกว่านี้แหล่ะ เพื่อจะได้เข้าใจ AWS แบบทุกอณู

เอาอีกจุดลงไปเพิ่มรอยหยักให้สมอง หวังว่ามันจะหาทางประยุกต์ได้ในอนาคตนะ….

Any fool can know. The point is to understand.

–Albert Einstein.

https://www.skooldio.com/certificate/6e0ab3ba-0286-422b-bbdc-0fe449ba4ac0

CategoriesTechnology...My interested

Skooldio : Mastering Application Development with Flutter

จากที่โพสต์ก่อนหน้า ตัวผมเองได้เขียนเอาไว้ ว่าเราไปลงเรียนเรื่อง Flutter ในหัวข้อ Skooldio : Building Hybrid Applications with Flutter มา แล้วในที่นี้ มีบางส่วนที่เราอยากรู้ แต่เรื่องพวกนั้นเรายังไม่รู้

แต่พอมา Take Course เรื่องนี้และเริ่มเรียนก็ไม่ผิดหวัง เพราะทันทีที่เริ่มเรียน ก็ได้รู้เรื่องราวที่มัน Advance ของ Flutter ที่มีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะเป็น

-การติดต่อกับ Hardware ภายในเครื่อง : หัวข้อนี้สอนการใช้งานกล้อง การใช้งาน GPS การสร้าง Plugin โดย Code Native ในแต่ละภาษาเครื่อง คอร์สนี้จัดเต็ม ทำให้มองเห็นภาพกว้าง การพัฒนา Flutter ได้เข้าใจมากเลยทีเดียว

-การสร้าง Form เพื่อใช้งาน : หัวข้อนี้สอนการสร้างฟอร์ม ตั้งแต่พื้นฐานว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ต่อไปถึงการดึง Lib Forme จาก Pub.dev มาใช้งาน ทำให้การสร้าง Form สะดวกมากและเข้าใจในเรื่องการสร้าง Form แบบลึกซึ้งไปเลย



-การสร้าง App 2 ภาษา และการออกแบบ App ให้รองรับการใช้งานจากผู้พิการทางสายตาและอื่นๆ : หัวข้อนี้ พาไปรู้จักในเรื่องการออกแบบ ว่าเราจะออกแบบ App อย่างไรรองรับได้มากกว่า 1 ภาษา เมื่อเราเปลี่ยนภาษาภายในเครื่อง และในอีกหัวข้อ จะเป็นเรื่องการออกแบบ App ที่รองรับผู้พิการทางสายตา ทำให้ได้รู้จักกับ Widget semantics , MergeSemantics , ExcludeSemantics ที่เมื่อเรารู้จักการใช้งานแล้ว จะช่วยให้งานของเรารองรับกลุ่มผู้ใช้งานต่างๆได้ดีมากขี้น (ว้าวมาก ดู Advance มาก > องค์กรที่คิดถึงผู้ใช้ในแง่มุมนี้ด้วย น่านับถือมากๆเลย)


-การใช้งาน Firebase : หัวข้อนี้พาไปรู้จักับ Google Firebase ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ช่วยให้เราได้รู้จักกับบริการนี้ ว่าทำมาเพื่อช่วยเหลือให้กับนักพัฒนาที่ไม่มีเวลาไปทำ Backend แล้วสะดวกอย่างไร จบด้วยการ นำเอาบริการ Firebase Login กับ Push Notification มาใช้งาน ดูจบแล้วมันง่ายจริงๆ (^____^”)


-การใช้งาน Google Maps : หัวข้อนี้ สอนกันตั้งแต่ติดตั้ง การใช้งาน การสร้างแผนที่ใน App ของเรา ใครอยากให้ App ของเราแสดงแผนที่ได้ ไม่ผิดหวังแน่นอน

-การใช้งาน Animation ใน Flutter : หัวข้อนี้ สอนการทำ Animation บน Flutter ว่ามีวิธีการเริ่มอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็น Animation in flutter , Hero Animation , Lottie , Rive ในหัวข้อนี้สอนแบบจับมือให้ทำตาม มีตัวอย่าง มีการดึงเอา Animation จากที่อื่นๆมาใช้ สะดวกและใช้งานง่ายมากๆเลย



-การ Deploy App ขึ้นบน App Store : หัวข้อนี้ สอนการเตรียมตัวสิ่งที่จำเป็นตั้งแต่ต้น จน Deploy ไป App Store , Play Store ว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง , Flutter Build Mode ต่างๆ เช่น Debug , Release , Profile ใครอยากรู้วิธีการส่ง App ไป Store ด้วยตนเอง ต้องดูเลย


ในที่นี้ยังมีหัวข้ออื่นๆ ที่ตรงกับสายงานที่ทำอยู่ในตอนนี้ คือ QA Engineer นั่นคือหัวข้อ Deep Dive into Flutter Debugging ที่ทางผู้สอนมาอธิบายเรื่อง Flutter Devtools โดยละเอียด ว่าเราสามารถใช้ Flutter Devtools นี้มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานที่เราทำได้อย่างไร โดยเริ่มตั้งแต่..
-Flutter DevTools คืออะไร
-How to Debug ผ่าน DevTools
-การจัดการ App Size
-การจัดการ Flutter Performance
-การเพิ่มความเร็ว ให้กับ App ด้วย Pre-Warmed Skia

มีเรื่องประทับใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือระหว่างเรียนหัวข้อนี้อยู่ ทีม Dev ในบริษัทที่ทำงานได้คุยกันในเรื่องของการเช็ค “ว่าทำไมการดึงข้อมูลจากเว็บถึงได้ช้า” นี้พอดีและในบทสนทนา ได้พูดถึงตัว Flutter DevTools นี้ด้วย เลยทำให้ตัวเรายิ่งอินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ (อินมากสิ เพราะพึ่งเรียนมา 555)


เรื่องถัดมา เป็นเรื่อง Flutter Maintainalibity ซึ่งเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการเขียน Test บน Flutter ว่ามีวิธีการเขียนอย่างไร

หากใครเคยเรียนเรื่องการ Test บน Flutter ทั้งจาก Udemy หรือหนังสือ Textbook เรื่อง Flutter ต่างๆ เหมือนกับตัวผมเอง จะเห็นว่าแหล่งต่างๆที่กล่าวมาจะพูดเรื่องการเทสในหัวข้อ Unit Test , Widget Test , Integration Test เพียงเท่านั้น และอาจมีบางที่ที่พูดถึงการทำ API Test ด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ในคอร์สนี้ ผู้สอนได้นำเรื่องของ Golden Test มาพูดถึง ซึ่งเมื่อได้ยินครั้งแรก ผมรู้สึกไม่คุ้นเลย แต่หลังจากได้ฟัง ไปสักพัก ก็ได้ความรู้เพิ่ม ว่า “อ๋อ มันคือการทำ ​Snapshot Test นั่นเอง” (ความรู้ใหม่ จดๆ)

หลักการทำงานของ Golden Test คือ จะมีการเก็บหน้า UI ที่หนึ่งเอาไว้ จากนั้นหากมี Dev คนไหน เผลอลบ Code ส่วน UI นั้นทิ้งไป เมื่อเรามา Run Golden Test ด้วย Function expectLater หน้าจอที่ได้จะไม่เหมือนกัน ทำให้
การเทสด้วย Golden Test ไม่ผ่านนั่นเอง (Widget Test จะเทสได้แค่มีหรือไม่มี เจอหรือไม่เจอ แต่ Golden Test จะเทสในเรื่องของหน้าจอ UI ว่าหลังการเปลี่ยนแปลง Code ไป หน้า UI ยังเป็นแบบเดิมไหม มีการเปลี่ยนแปลงหน้า UI ไปหรือเปล่า) ซึ่งในคอร์สนี้ อธิบายเรื่อง Golden Test โดยละเอียดเลย


คอร์สนี้เหมาะกับใคร ?
คอร์สนี้เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้เรื่อง Flutter มาบ้างแล้ว และอยากรู้ลึกในเรื่องของการเพิ่ม Performance การทำงาน หรือการทำงานตามหัวข้อต่างๆ ที่กล่าวไป จนกลายเป็นผู้เขียน Flutter ที่ครบเครื่อง

ตอนเรียนสวมหมวก 2 ใบในการเรียนคอร์สนี้
-1. QA พบว่ามีความรู้เรื่อง QA ในการใช้ Tools และ Technique ต่างๆ ที่มาช่วยให้ การ Test กับ Flutter มีประสิทธิภาพ เพิ่มมากขึ้น
-2. Developer พบว่าความรู้ต่างๆที่คอร์สนี้นำเสนอ เรียกว่าเป็นหัวข้อที่ Advance เลยทีเดียว ใครที่อยากประหยัดเวลาการเรียนรู้ด้วยตนเอง จากคอร์สออนไลน์อื่นๆ แนะนำให้มาลงเรียนคอร์สนี้ได้เลย


ก่อนจบหัวข้อนี้ไป ได้จด Key Takeaways เพื่อให้เราได้ไปศึกษาต่อ มาอีกเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็น
-Profile Mode (–profile)
-Warm up with cache (–cache-sksl) (Pre-Warmed Skia ช่วยให้แอพทำงานเร็วขึ้น)
-Golden Test (Snapshot Test : flutter test test/golden_test.dart –update-golden)
-expectLater

Good Job!

https://www.skooldio.com/certificate/1d2011db-c04c-4039-9bd0-ae898534fc92

 I did then what I knew how to do. Now that I know better, I do better.

Maya Angelou.
CategoriesTechnology...My interested

เขียนโค้ดยามว่าง : หลักสูตรพัฒนาบอทเกมส์ด้วยภาษา Python ร่วมกับ OpenCV และ LdPlayer

มาลงเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากได้ความรู้เรื่องของการทำ Bot + Computer Vision เอามาประยุกต์ใช้กับงาน QA ที่ทำอยู่ เพราะมีบางงานที่เราไม่สามารถทำให้มัน Automated ด้วยTools อย่าง Appium , Cypress , Selenium , Playwrigth ได้ จึงต้องศึกษาการใช้งาน Tools อื่นๆมาประกอบ โดยหันมาใช้ความสามารถของ Bot + Computer Vision เข้าร่วม

งานไหนที่ควรเอา Computer Vision มาใช้บ้าง ?
ตัวอย่างที่เคยเจอคืองานอย่างเช่น Line OA ที่ในหน้าจอ Rich View เราไม่สามารถไปเกาะที่ Element ในหน้านั้นๆได้ จึงไม่สามารถไปทำ Action ใดๆกับมันได้ เพราะไม่รู้ว่าส่วนไหนคือปุ่มกดในหน้านั้น หรืออีกตัวอย่างเช่นเกมส์ Ragnarok ตามเจตนาของผู้สอนที่ทำคอร์สนี้ทำออกมา ที่จะทำอย่างไร ให้คอมฯมันรู้ว่านี่คือ Poring นะ หากเจอมันเข้า ก็เข้าไปกดตีมันได้เลย !!! (มันจะฉลาดเกินไปแล้ว)

Concept คร่าวๆก็จะประมาณนี้

คอร์สนี้เป็นคอร์สที่ปูพื้นพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่ Python 101 ไต่ระดับไปที่เรื่อง OpenCV กับการ Matching รูปภาพ
ไต่ระดับเพิ่มไปอีกกับการบังคับเมาส์และคีย์บอร์ด
ไต่ไปสูงสุดกับการทำ Deep Learning ทำให้คอมฯได้รู้จักกับ Poring และสอนทำ Bot ให้เล่นเกมส์แทนคน (เกมส์ทำมาเพื่อให้เราสนุก แต่ขนาดความสนุก คนพวกนี้ยังเลือกที่จะขี้เกียจ ให้ Bot ทำงานแทน เอากับคนประเภทนี้สิ 5555)

ความรู้สึกหลังเรียนจบ …คือคุ้ม และไม่ผิดหวัง เพราะได้รู้จักกับวิธีการทำ Deep Learning ที่สั่งให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้จากรูปภาพ เพื่อทำความเข้าใจว่าวัตถุนี้-วัตถุนั้นคืออะไร (กว่าจะกดได้เอง ต้องหารูปภาพ เอามาเทรนโดยบอกว่านี่คือ Poring น้า อยู่นานพอตัว 55555)
ได้รู้จักกับ Pytorch ได้รู้จัก Anaconda ได้รู้จัก makesense.ai ได้รู้จักอะไรๆจากคอร์สนี้เยอะเลย คุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ

คอร์สนี้เหมาะกับใคร ?
-คอร์สนี้เหมาะกับคนที่อยากสนุก แต่ขี้เกียจ สร้างบอทมาเล่นเกมส์ (นั่นก็สรุปไวปายยยยย)
-คอร์สนี้เหมาะกับคน ที่อยากเรียนรู้เทคโนโลยีอะไรบางอย่างเพื่อนำไปสร้างเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Computer Vision ช่วยให้คอมพิวเตอร์มองเห็น และเข้าใจในวัตถุได้ สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับภาพนั้นๆ ผ่านทาง แป้นพิมพ์และเมาส์ได้นั่นเอง
-คอร์สนี้เหมาะสำหรับ QA ที่อยากเพิ่มความสามารถเรื่อง Computer Vision ที่นำไปประยุกต์กับงานตัวเองได้ (จบสวย)


จบไปอีกคอร์สในปีนี้ รู้สึกดีที่ได้ฟังวิทยากรเก่งๆ ที่ถ่ายทอดความรู้ออกมา ได้เข้าใจง่าย
หลังเรียนจบ ได้ความคิดว่า “มันได้เวลาปรับปรุงคอร์สของตัวเองสักที” โดยเอาหัวข้อนี้ไปรวมกับคอร์สตัวเองด้วยดีกว่า รวมเรื่อง OCR ลงไปด้วยก็น่าจะดี เขาจะได้ไม่หาว่า “เราไปลอกเขามา” 5555

หมายเหตุ :

ใครอยากรู้เรื่องนี้ เข้า Facebook พิมพ์หา Page ด้วยคำว่า “เขียนโค้ดยามว่าง” จะเจอเพจฯ ปรากฏขึ้นมา
อยากบอกเลยว่าคนสอนสอนดีมากกกก ราคาไม่แพงด้วย แนะนำเลย


The true delight is in the finding out rather than in the knowing.

–Isaac Asimov​.
CategoriesTechnology...My interested

Skooldio : Building Hybrid Applications with Flutter

เลือกลงเรียนคอร์สนี้เพราะอยากปรับพื้นฐานในเรื่องของ Flutter รวมไปถึง อยากเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้จนถึงขนาดถ่ายทอดออกมา เลยเป็นที่มาให้มาลงเรียนในคอร์สนี้

ต้องบอกเลยว่าคอร์สนี้จากทาง Skooldio ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หลายเรื่องจากผู้บรรยาย คุณ ขจรศักดิ์ พีรพัฒนานนท์ senior developer จาก Agoda ที่ได้มาบรรยายให้ฟัง เป็นเรื่องพื้นฐาน เหมาะสำหรับคนที่อยากรู้ว่า Flutter คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร มี Mini Project ให้ทำเรื่อง Todo List ที่ทำให้เรารู้จักการทำงานในรูปแบบ CRUD ร่วมกับ sqflite ของ Flutter + การใช้งาน Navigater 2.0 และ 1.0 + มีการนำเอาความรู้เรื่อง State Management มาใช้สอนร่วมกันไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป หากใครที่นั่งฟังและทำตามไปด้วยจะทำให้เข้าใจหลักการทำงานของ Flutter ได้ขึ้นมากเลยทีเดียว (ใครที่พิมพ์ตามไม่ทัน ทาง Skooldio ก็มี Git เตรียม Source Code ไว้
แต่เชื่อเถอะว่าหากเราพิมพ์ตามไปด้วย จะเข้าใจหลักการทำงานมากกว่าการ Clone เอา Code มาทำตามมากกว่ามากๆ)

หลังเรียนจบรู้สึกว่าคุ้ม เพราะมีหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้ …

แต่หากถามว่าจบคอร์สนี้แล้วเรามั่นใจมั้ยที่จะออกไปถ่ายทอดเรื่อง Flutter นี้ให้คนอื่นต่อ ?

ต้องตอบเลยว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังต้องฝึกอีกมากจริงๆ ทั้งเรื่องเทคนิคการจัดการ Code , เทคนิคการใช้งาน State Management , เทคนิคการออกแบบหน้าตาแอพฯให้ดูสวยงามตรงตามความต้องการของผู้ใช้ , เทคนิคการจัดการ State แต่ละ State เพื่อให้แอพฯของเราทำงานได้ดีขึ้น เทคนิคการเขียนเทสลงไปใน Flutter โดยการแยกส่วนประกอบและรองรับการทำงานแบบ Data Driven และอื่นๆ ที่ภายในคอร์สนี้อาจไม่ได้ลงรายละเอียดในส่วนนี้มากนัก


เอาจริงแอบท้อบ้างนะ เพราะตอนที่เรียนตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปถ่ายทอดกับคนอื่นต่อให้ได้ แต่พอเรียนกับคนสอนที่เก่งในเรื่องนี้จริงๆ คือมีอาการไหล่ห่อไปเลย 555

คือเหมือนพวก Senior Dev แต่ละคน ทั้งในที่ทำงานของเราเอง และจากอาจารย์ผู้สอนท่านนี้เอง ที่ทำให้รู้สึกว่า คนพวกนี้เก่งจริงๆ นะ และเราก็ดูกระจอกไปเลย หากเราคิดจะทำเรื่องเหล่านี้ออกมาถ่ายทอดให้คนอื่นต่อ คืออายในความรู้ตัวเองนั่นแหล่ะ 5555

แต่ก็นะ นั่นคือเราในแบบที่เราอยากเป็นนี่


ขอบคุณทุกๆความรู้ ขอบคุณทุกๆผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ครับ

https://www.skooldio.com/certificate/49a31ee9-9548-4e05-b78d-abebc227a04e

Wind extinguishes a candle and energizes fire.

From the book of “Antifragile” by Nassim Nicholas Taleb.
CategoriesInspiration...My self-Improvement

2023: A Year of Thanks and Reflection

เมื่อตอนต้นปีใช้ชีวิตด้วยความเครียด เนื่องจากโปรเจคในตอนนั้น เป็นเหตุให้นอนดึก ตื่นไว ดื่มมากไป กินแต่มาม่า จนทำให้เจอเหตุการณ์ เกือบขิต หลังจากรู้ซึ้ง ถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว ทำให้ตัวเราตั้งสมมุติฐานกับตัวเองขึ้นมาว่า “หากมันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้ง เราจะทำยังไง” เลยเป็นที่มาให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติกับตัวเองในหลายๆเรื่อง เริ่มตั้งแต่

~เลิกดื่มของมึนเมา : ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากเกือบขิตคราวนั้น เป็นเหตุให้ตัวเองหันมากินแต่อาหารสุขภาพ ไม่ดื่มของมึนเมา จนสุขภาพจิต สุขภาพกาย เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

~ทำประกัน : อันนี้ไม่ต้องคิดมากเลย หากชีวิตขิตจริงๆ คนข้างหลังจะเป็นยังไงนะ คิดได้แค่นี้ ก็ทำเลย ที่สำคัญ มันลดหย่อนภาษีได้ด้วย

~ออกกำลังกาย : จากแต่ก่อน เวลาออกกำลังกาย จะต้องไปฟิตเนส ต้องจ่ายรายปี ต้องมีชุดพร้อม ต้องนั่นนู่นนี่ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จกับมันเลย ตัดมาที่ตอนนี้ ลุกมาเดินออกกำลังกายใกล้ที่พัก วันละ 5 km
จากที่เคยน้ำหนักปริ่มอยู่ที่ 90 kg ตอนนี้ลดมาเหลือ 72 kg ได้ รู้สึกตัวเบาไปเลย (ช่วงนี้พักก่อน ฝุ่นเยอะเลย)

~สื่อสารภาษากับชาวต่างชาติ : จากเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าเราจะสามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาอังกฤษได้ แต่ก็เรียนภาษาอังกฤษผ่านแอพฯ Doulingo ทิ้งไว้ ฝึกแล้วก็ฝึกอีก วันละ 10 นาที ทำมาได้ 3 ปี มาปีนี้กระโดดลงมาคุยกับเจ้าของภาษาทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ตอนนี้สื่อสารกับเจ้าของภาษาได้แล้ว ยังอึ้งกับตัวเองอยู่เลย ว่าสมองมันสลับ Mode สลับภาษาได้ยังไง

~สร้างวินัยให้ตัวเอง : ก่อนหน้า เรียนอะไรก็เอาแค่พอรู้ ความรู้ไหนที่รู้แล้วก็ทู่ซี้รู้ไปอยู่เรื่องเดียวไม่ยอมพัฒนาอะไรต่อเพิ่มเลย ครั้นพอจะเรียนอะไรเพิ่มสักหน่อย ก็เรียนครึ่งๆกลางๆ หรือไม่ก็เรียนไม่จบ

ปีนี้เจอวิธีปรับตารางเวลา สร้างวินัยให้ตัวเองสำเร็จ จนมันมีประสิทธิภาพ จากที่เคยใช้ชีวิตไปวันๆ ตอนนี้หันมา “focus” กับสิ่งที่อยากพัฒนาทีละเรื่อง บวกสร้างการจัดการชีวิตให้เป็น “sprint” กับ “แบ่งเวลาเป็น” หากวัดผลจาก Outcome คือเรื่องที่ฝึกสำเร็จ ตอนนี้ถือว่า Success ในระดับดีเยี่ยมเลยทีเดียว

เวลานี้มันสำคัญมากนะ หากงานประจำที่ทำ คือ 8×5 = 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ไอ้เวลาที่เราหามาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง มันจะอยู่ที่
3×5 = 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บวกเพิ่มจากวันเสาร์ อาทิตย์อีก วันละ 8 ชั่วโมง 2 วันก็ 16 ชั่วโมง

พอเอา 15 + 16 จะเท่ากับ 31 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นี่มันเท่ากับเราเกือบจะทำงาน Full time ในบริษัทแล้วนะ !!

-พัฒนาตัวเอง : ปีนี้เสียเงินให้กับเรื่องการพัฒนาตัวเองไป เทียบเท่ากับการเสียเงินเรียนระดับ ป.ตรี ไปแล้วครึ่งนึง เชื่อว่าหากยังพัฒนาไม่หยุด จากคนระดับ อบต. น่าจะพอเข้าไปแข่งระดับโอลิมปิกกับเขาได้บ้าง

ปีนี้ดีขนาดนี้แล้ว ขอพลังคุณจักรวาล เทวดาประจำตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ปีหน้าดียิ่งๆขึ้นไป 10 เท่า 100 เท่าไปเลยนะ

555+

Don’t let the outer noise keep you from hearing your inner music.

–Tutor Joane : My english teacher.
CategoriesTechnology...My interested

Skooldio : Introduction to Docker , Kubernetes Mastery

พึ่งได้เรียนจบหลักสูตร “DevSecOps Series” ของทาง Skooldio สุดยอด Platform การเรียนรู้ของไทยที่ตลอดการเรียนรู้ รู้สึกว้าวตลอดเวลา โดยเฉพาะได้ฟังผู้บรรยาย คุณจิรายุส นิ่มแสง ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเรื่องการทำ DevSecOps มาเล่าและแชร์วิธีการทำ DevSecOps แบบ Step by Step ให้ดู ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกทึ่งในความรู้ของผู้ถ่ายทอดมากๆ ถึงขนาดสงสัยเลยว่าต้องทำยังไงนะ ถึงได้พาตัวเองให้ได้ไปอยู่ในสายงานแบบนั้น รวมถึงได้กลายมาเป็นคนที่เก่งในเรื่องนี้ได้มากๆ สุดยอด!!

3 หัวข้อที่เรียน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำ DevSecOps ว่ามีวิธีการทำอย่างไรบ้าง โดยเริ่มตั้งแต่อธิบายภาพรวมของ DevSecOps การใช้งาน Docker เบื้องต้น ไปจนถึงการเริ่มต้นทำ Docker Compose จบที่เรื่องสุดท้าย การจัดการ Container ต่างๆให้ทำงานร่วมกันให้รองรับการ Scale รองรับการเรียกใช้งานหลายๆ Container ด้วยการใช้งานตัว Kebernetes !

สิ่งที่ชอบมากคือเรื่องของการสอดแทรกทริค และเทคนิคจริงๆ จากประสบการณ์ทำงาน บางอย่างเช่น การสร้างความตระหนักเรื่อง cloud native application twelve factor , การพัฒนาแอพฯ ให้ทำงานแบบ On the fly on run time. , การเลือกใช้ หรือไม่ใช้ DB on Container , การวางโครงของ Container ให้รองรับการเรียกใช้งานด้วยตัวแปรและอื่นๆ อีกหลายเรื่อง

เอาจริงๆ หากเราไม่มาฟังผู้รู้บรรยาย และเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างไปด้วยตัวเอง จากเวลาที่เราเรียน ผ่าน Platform นี้เราใช้เวลาเพียงแค่ 14 ชั่วโมง แต่หากเราเรียนรู้เรื่องต่างๆเอง เราอาจใช้เวลา มากกว่า 1 ปีก็เป็นได้ ฮ่าๆๆ

หลังเรียนจบไปทั้ง 3 หัวข้อ มีความคิดว่าจะต้องกลับไปเรียนซ้ำในเรื่องของ Kubernetes อีกซักที เพราะเรียนจบไป แบบยังไม่มั่นใจกับหัวข้อนี้มากนัก เพราะตลอดหัวข้อ มีการ Config Infrastructure as Code ตลอดครึ่งหลัง และหลายๆตัวแปร มีการใช้ชื่อเดียวกัน ทำให้ยังงงๆอยู่บ้าง ฮ่าๆๆ

ไม่รู้ว่าโลกของการทำงานต่อจากนี้ไป การเลือกใช้งาน Serverless On Cloud กับการสร้าง DevSecOps ที่เอา Container มาใช้งานร่วมกับ Kubernetes แบบไหนจะได้รับความนิยมมากกว่ากัน แต่คิดว่าอย่างไรก็ไม่เสียหายหากเราจะมีความรู้ในเรื่องนี้ไว้เป็นแกนหลัก เพราะอย่างไร เราก็มีที่ให้ใช้ถ่ายทอดความรู้อยู่ดี

สุดท้าย ขอบคุณโครงการมาเรียนธอนของทาง Skooldio มากๆ ที่ทำให้ได้เรียนคอร์สความรู้ดีๆ ในราคาย่อมเยาว์

ปิดจ็อบการเรียนรู้ในปีนี้ไปได้อย่างสวยงาม

https://www.skooldio.com/certificate/67d8489a-32da-482d-964f-b5d877df96b3

https://www.skooldio.com/certificate/be5d316b-84f0-4673-8647-dab7dfa7af17

Having knowledge but lacking the power to express it clearly is no better than never having any ideas at all.

–Pericles.
CategoriesTechnology...My interested

Skillane : ฝึก JMETER ให้เป็น QA ขั้นเทพ (#JMETER101)

เลือกลงเรียนในหัวข้อนี้เนื่องจาก ทีมที่ตัวเองทำงานอยู่จะมีการทำ Performance Test ให้อยู่ในกระบวนการทำงานด้วย แต่ทีม QA อย่างเช่นข้าพเจ้า ยังไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับ Performance Test สัก Tools เลย เลยเป็นที่มาให้ได้มาลงเรียนในหัวข้อนี้

คุณธิติ พิสูจน์ ผู้สอนเป็นวิทยากรคนเดิมจากหัวข้อ “Postman” ล่าสุดที่ผมพึ่งเรียนไป แล้วได้รู้ว่าวิทยากรท่านนี้สอนดีแค่ไหน จึงทำให้ตัดสินใจลงเรียนเลยทันที

“ฝึก JMETER ให้เป็น QA ขั้นเทพ (#JMETER101)” ในหัวข้อนี้ ผู้เรียนจะได้เรียนตั้งแต่ ฺBasic พื้นฐาน อย่างเช่นการติดตั้งโปรแกรม Jmeter , การเรียกใช้งาน sampler , listener , การแตก thread เรื่อยไปจนถึงระดับ Advane การออกรายงานต่างๆ

ต้องบอกเลยว่าหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ทำ Labs เยอะมาก (ก ไก่ล้านตัว) และเวลาที่ใช้เรียนก็มากเช่นกัน (6 ชั่วโมง) รวมไปถึงก็ยังสงสัยอยู่เรื่อยไป ว่าทีมเราจะเอาทุก Feature ที่เราเรียนในที่นี้ ไปทำหมดเลยหรือไม่ ฮ่าๆๆๆๆ

ดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “รู้ไว้ใช้ว่า ใส่บ่าแบกหาม” แม้ว่าในตอนนี้เรื่องที่เรารู้ไว้มันอาจจะเยอะ หรือมันอาจจะยังไม่ได้ใช้ แต่ในวันหนึ่งที่เราจำเป็นใช้งานมันขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นเราจะได้สามารถแนะนำใครต่อใครได้ว่า Tools นี้มันดีและมีประโยชน์ยังไง

ผมอยากจะเขียนลงไปนะ ว่า Tools ตัวนี้มันทำอะไรได้บ้าง แต่หากเขียนลงไปจริงๆ ผมคงเขียนได้ไม่หมด เอาเป็นว่า มันทำสิ่งหลักๆ ได้ตามนี้ “ยิง , เทส , ดูกราฟ , tune , ดู Log , ออกรายงาน”

ผมคงไม่สามารถเขียนอะไรเกี่ยวกับหัวข้อนี้ไปได้มากกว่านี้ แต่เชื่อเลยจริงๆ หากเรานั่งเรียนและทำตามไปตั้งแต่ต้น มันจะทำให้ตัวเราหลังเรียนจบ กลายเป็น QA ขั้นเทพที่ใช้ Tools ที่ทรงพลังอย่างนี้เป็นแน่นอน


คุยกับตัวเองหลังเรียนจบแล้วรู้สึกว่า Jmeter มันเป็น Tools การทดสอบ AP + Performance Test ที่ทรงพลังมากเลยนะ แต่หากจะให้เอาความสามารถเรื่อง API Test ที่ Jmter ทำได้แล้วให้ไปเทส API บน Jmeter ในข้อนี้ยังไงๆก็ขอเลือกใช้งาน Postman ดีกว่า !! (o____O”)

แอบกลัวลึกๆอยู่เสมอตลอดการเรียนหัวข้อนี้ ว่าหากเราเรียนไปแล้วเราไม่ได้ใช้ พอเริ่มนานๆไป เราจะลืมมันหรือเปล่า ฮ่าๆๆ

และก็แอบสงสัยในฐานะคนทำ Server ด้วยเช่นเดียวกัน ว่าหากมี Request ที่ต้นทางมาจากแหล่งเดียวกัน ส่ง Request มาเป็นหมื่น เป็นร้อย เป็นพัน ในช่วงเวลาเดียวกัน มันจะสามารถเป็นตัวแทนของการใช้งานจริง ที่มี Request ที่ต้นทางมาจากแหล่งที่ต่างกันได้หรือไม่ ?!

The important thing is not to stop questioning. Curiosity has its own reason for existence.

–Albert Einstei.

CategoriesTechnology...My interested

Future skill : ก้าวสู่โลกของเทคโนโลยีด้วยการเป็น QA , ความรู้พื้นฐานสำหรับ QA และ Tester , Manual Testing และเครื่องมือต่างๆ ในการจัดการ Test , Workshop การทำ API และ Functional Manual Test

จากที่ได้สมัครเรียนรายปีกับทาง Future skill ไว้ แต่ไม่ค่อยมีเวลาได้เข้ามาเรียน วันนี้นึกอยากกลับมาลองเปิดดูว่ามีคอร์สอะไรน่าเรียนบ้างก็รู้สึกไม่ผิดหวัง

โดยในวันนี้ หัวข้อที่ได้เรียนกับทาง Future skill จะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ QA ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
-ก้าวสู่โลกของเทคโนโลยีด้วยการเป็น QA
-ความรู้พื้นฐานสำหรับ QA และ Tester
-Manual Testing และเครื่องมือต่างๆ ในการจัดการ Test
-Workshop การทำ API และ Functional Manual Test

หัวข้อต่างๆเหล่านี้ ใช้เวลาเรียนหัวข้อละไม่เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ไม่นานจนเกินไปประกอบกับที่เลือกมาเรียนในหัวข้อเหล่านี้ เพราะมีความรู้สึกว่าจากการที่เราย้ายสายจาก Dev มาทำหน้าที่เป็น QA ในตอนนี้ เรายังมีพื้นฐานไม่แน่นพอ จึงทำให้อยากเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องของ QA เพิ่มขึ้นเยอะๆ โดย Coursera ที่จบไปและได้ Cer มา ก็มีที่มามาจากสาเหตุเช่นเดียวกันนี้ (ไม่อยากจะบอกว่า ลงเรียนไปเยอะมาก แค่ยังเรียนในแต่ละคอร์สไม่จบเท่านั้นเอง โดยเฉพาะหัวข้อที่ผู้บรรยายเป็นชาวต่างชาติ อันนั้นนั่งฟังแบบนานจริงๆ ฮ่าๆๆ)

ส่วนตัวแล้วดีใจเลยที่ได้ฟังวิทยากรคนเก่ง คุณพี พิรดา ทิพย์รัตน์ จากบริษัท Thoughtworks (เรียกตามที่วิทยากรพูดในวิดีโอการบรรยาย) มาแชร์ทิปและเทคนิคการทำงานในฐานะ QA ตั้งแต่ต้นจนจบให้เราฟัง พอฟังเสร็จแล้วชอบในการสื่อสารที่ทำให้รู้สึกว่างานเหล่านี้มันจะสนุกและน่าทำมากๆ เมื่อคุณรู้จัก Mindset และเลือกใช้ Tools ให้เป็น

แม้ในหัวข้อต่างๆเหล่านั้นที่เรียนมาอาจจะมีบางเรื่อง ที่ในที่ทำงานของเราไม่ได้ใช้ เช่นรายงานบางตัว แต่คิดเอาไว้ว่าหากเราทำตามวิทยากรผู้สอน เอาทิปและเทคนิคเหล่านั้นไปประยุกต์ให้กับที่ทำงานของเราหรือที่ที่เราทำงานให้ งานที่ทำเหล่านั้นมันน่าจะดีขึ้นและวัดผลได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนะ

จบไปอีก 4 คอร์ส > Skill QA Level ขึ้นรัวๆๆ

ปล.หลังเรียนจบ จะมีเทสให้ทำด้วยนะ

https://app.futureskill.co/api/certificate?courseId=710&userId=59962

https://app.futureskill.co/api/certificate?courseId=711&userId=59962

https://app.futureskill.co/api/certificate?courseId=712&userId=59962

https://app.futureskill.co/api/certificate?courseId=713&userId=59962

Sharing knowledge is not about giving people something, or getting something from them. That is only valid for information sharing. Sharing knowledge occurs when people are genuinely interested in helping one another develop new capacities for action; it is about creating learning processes.

–Peter Senge​.
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skooldio : DevSecOps Transformation & Technologies

เลือกมาลงเรียนคอร์สนี้ เนื่องจากสนใจในเทคโนโลยี DevOps มานาน และมีความตั้งใจที่จะพยายามนำเอาเทคโนโลยีทั้งหมดที่อยู่ใน DevOps ออกมาถ่ายทอดให้กับผู้อื่นแบบจับมือทำให้ได้ เลยเป็นเหมือนความต้องการลึกๆ ที่เราอยากจะมีความสามารถในการ Set Config หรือทำให้ระบบทั้งหมดเป็น Infrastructure as a Code ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปโดย Automated ในทุกส่วน (Git+GitHub ที่เรียนไป 2 หัวข้อก่อนหน้า ก็เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่อยู่ในส่วนของ DevOps เช่นเดียวกัน)

หลังจากที่ Skooldio จัดโครงการ “มาเรียนธอน” ก็ไม่รอช้าที่จะลงทะเบียน และเลือกเอาหัวข้อนี้มาเลือกเรียนเป็นหัวข้อแรก เนื่องจากความต้องการลึกๆ ที่อยากจะทำเป็น หรือกลายเป็นหนึ่งในคนที่ใช้เทคโนโลยีนี้เป็น เลยเลือกมาเรียนหัวข้อนี้

จากที่คิดไว้แต่ตอนต้น ว่าหัวข้อนี้คงมาพูดเรื่องทั่วไปที่เกียวกับ DevOps จึงทำให้ไม่ได้คาดหวังอะไรกับหัวข้อนี้มากนัก มีมาแค่ความตั้งใจเรียน ที่หวังว่ามาเรียนเพียงเพื่อให้ผ่าน แต่เมื่อมาลองเรียนจริงจนจบ ก็รู้สึกผิดคาด ทั้งในเรื่องของ Platform Skooldio ที่ทำสื่อการสอนออกมาได้ว้าวสุดๆ มีส่วนการแสดง UI ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่สวยงาม + ความรู้ความสามารถของผู้สอนในหัวข้อนี้ ที่ทำให้การฟังแต่ละเรื่องเป็นไปอย่างสนุก ไม่มีเบื่อ (หากใครอินในเรื่อง DevOps อยู่แล้ว จะฟังรวดเดียวจบ ไม่อยากลุกไปไหนเลยเหมือนผม)

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมที่อยากรู้ในเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อมาเจอกับผู้สอนที่มีความรู้จริง แนะนำ Case Study ที่เรากำลังติดปัญหาในบางคำถาม ได้มาบรรยายให้ฟัง ทำให้รู้ได้ว่าเทคโนโลยีที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นั้น จะเอาไปทำอะไรและช่วยให้คำถามที่ติดอยู่ในใจเราได้คลี่คลายออกไป เมื่อฟังจบ

ยกตัวอย่างคร่าวๆเช่น
-VM กับ Container เราควรเลือกเทคโนโลยีแบบไหนมาใช้
-หากเราเป็นองค์กรแบบดั้งเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่เยอะอยู่แล้ว ระบบ Cloud หรือ ระบบ On – Premise ถึงจะเหมาะสมกับเรา เมื่อเทียบกันในแง่ของราคา
-เทคโนโลยี Cloud เหมาะกับองค์กรแบบไหน

อันนี้เป็นตัวอย่างของคำถามที่เหมือนตัวผมเองจะติดอยู่ในใจ และได้รับคำตอบหลังจากที่มา Take Course นี้กลับไป

จากที่ไม่คาดหวังในตอนก่อนเรียน หลังเรียนจบแล้ว ก็หันมาถามตัวเอง “ว่าเราจะทำอย่างไร ให้เก่งได้สักครึ่งของวิทยากรท่านนี้” และจะรู้สึกเสียดายมากๆเลย หากไม่ได้มาลงเรียนในคอร์สนี้ เพราะเทคโนโลยีที่วิทยากรท่านนี้ที่นำมาสอน คือสิ่งที่เขารู้จริงๆ

https://www.skooldio.com/certificate/e3db0a1a-3767-439a-bf38-3a9bac87dbfa

“The only true wisdom is in knowing you know nothing.”

— Socrates.
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Skillane : Git + GitHub สำหรับนักพัฒนาโปรแกรม

หลังจากจบเรื่อง Git ไปเมื่อหัวข้อที่แล้ว แต่เนื่องจากมีความจำเป็นที่อยากจะมีความรู้ในเรื่องนี้ จนถ่ายทอดได้ เลยทำให้หาคอร์สเรียนมาต่อ ซึ่งคอร์สเกี่ยวกับ Git ถัดมา ก็เป็นคอร์สจากทาง Skillane

Git + GitHub สำหรับนักพัฒนาโปรแกรม > หากถามว่าคอร์สนี้เหมาะสมกับใคร คงต้องตอบว่าหากเราจะเรียนเพียงเพื่อทำงานเบื้องต้น เพียงแค่เรียนจากช่องของ KongRukSiam ก็น่าจะพอแล้ว แต่หากใครอยากเรียนรู้เพิ่มในเรื่องอื่นๆ ที่ Advance มากขึ้น เช่นการใช้เครื่องมือจัดการ Git+GitHub ผ่าน VS Code ที่ชื่อว่า GitGraph หรือใครอยากมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับ Git+GitHub เพื่อจะนำมาช่วยให้เราทำงานได้ดี จนสามารถแก้ปัญหาต่างๆที่อาจเจอผ่าน Git ได้ ก็ขอแนะนำคอร์สนี้เลย
ตัวอย่าง Git+GitHub ที่ Advance เพิ่มขึ้นมา มีตัวอย่างดังนี้ เช่น

-การจัดการ Conflig ของไฟล์เมื่อเกิดปัญเวลา เวลาที่เราไปทำร่วมกัน
-Git Cherry Pick : การเลือก Commit เพื่อนำมาใช้กับการเปลี่ยนแปลงของ Checkout ปัจจุบัน
-Git Rebase : การปรับฐาน การแยก Branch เพื่อปรับเนื้อหา
-Git Revert : การยกเลิกการเปลี่ยนแปลง Commit ที่เกิดขึ้น
-Git Stash : การเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงทั้งหมดไว้ชั่วคราว
-Git Flow : แนวทางพัฒนาร่วมกันกับผู้อื่น
-Git Tag : วิธีการแท็กเนื้อหา และการเพิ่มลงใน GitHub
-Git .gitignore File : การสร้างไฟล์เพื่อปฏิเสธการติดตามเนื้อหา
-GitHub Fork และ Pull Request เพื่อการทำงานร่วมกับผู้พัฒนาอื่นบนโลกออนไลน์
-GitHub Actions สำหรับการใช้ CI/CD

ฯลฯ

หลังเรียนจบ ทาง Skillane จะมีทดสอบให้เราได้ทำ ซึ่งหากผู้เรียนทำผ่าน 16 คะแนนขึ้นไป ก็จะได้รับ Certificate จากทาง Skillane !!!! ตามภาพ

ตอนนี้ก็คิดว่าเราน่าจะเข้าใจเรื่องของ Git+GitHub ดีขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว ได้เวลาสลับไปเรียนรู้เรื่องอื่นจาก Platform อื่นๆดูบ้าง น่าจะดี

หมายเหตุ :
หากใครซื้อคอร์สจากทาง Skillane ช่วงนี้ เขามี Code Coupon ส่วนลดสูงสุด 40% หรือราคา 500 บาท
เมื่อกรอก Code : SANTA500
คิดว่าหากใครเป็นสายชอบซื้อคอร์สเรียน น่าจะถูกใจกับสิ่งนี้


https://certificate.skilllane.com/certificates/B79ARC1

“If you have knowledge, let others light their candles at it.”

— Margaret Fuller.


CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Youtube : เรียนรู้การใช้งาน Git & GitHub | สำหรับผู้เริ่มต้น [FULL COURSE] – KongRuksiam Official

ตั้งใจหาเรื่อง Git มาเรียน โดยจะเรียนตั้งแต่จุดเริ่มต้นให้เข้าใจโดยละเอียด เพราะอยากนำเอาเรื่องนี้ไปถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ต่อในอนาคต จะได้พูดไม่ผิดหลักหรือไม่ไปถ่ายทอดอะไรแบบๆผิดให้กับผู้เรียน มาเรียนรู้ไป ซึ่งมันไม่น่าจะดี

โดยการจะหาเรื่องนี้มาถ่ายทอดให้คนอื่นได้นั้น ก็ต้องไปศึกษาตามแหล่งต่างๆ ที่เป็นทั้งแหล่งที่ฟรี และไม่ฟรี โดยแหล่งที่เรียนรู้แบบฟรี และถูกจริตผมมากๆเลยจะเป็นช่อง https://www.youtube.com/@KongRuksiamOfficial เพราะในขณะที่เรียนเรื่อง Git & GitHub ผ่านช่องนี้ตลอดเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็พบว่า มันเข้าใจง่ายมากกกกกกก !!!!!

โดยเรื่องนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ คนไม่เคยเข้าใจการใช้งาน Git มาก่อนสามารถมาเริ่มได้ง่ายๆที่หัวข้อนี้

หลังเรียนจบแล้วคิดว่า หากจะเอาความรู้เรื่องนี้ไปแชร์ให้คนอื่นต่อ เปลี่ยนเป็นแนะนำคนที่เรียน ให้มาเรียนรู้ดูผ่านช่องนี้แทนไปเลยจะดีกว่า น่าจะเกิดประโยชน์สูงสุด 555


สุดท้าย…

อยากบอกว่าประทับใจเจ้าของช่องๆนี้ ที่ทำสื่อการเรียนรู้ได้ออกมาเข้าใจง่าย และใส่ใจผู้เรียนเป็นหลัก ทำให้การเรียนรู้ดูสนุกและน่าสนใจ ไม่มีเบื่อเลย

ในฐานะที่ตัวเองก็ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้เหมือนกัน ทำให้อยากหันกลับมาปรับปรุงการถ่ายทอดให้ดี และเข้าใจได้ง่ายเหมือนที่ช่องนี้ทำบ้าง จะได้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มากต่อไป

นึกแล้วรู้สึกดี ได้แต่บอกออกไปว่า “ขอบคุณสำหรับสื่อการเรียนรู้ดีๆครับ”

An investment in knowledge always pays the best interest.

–Benjamin Franklin.
CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

Coursera : Jenkins in Docker: Slack Notifications & Build Monitor View

ตามมาติดๆ ด้วยการลง Lab ทำโปรเจคการใช้งาน Jenkins + Docker เพื่อทำให้โปรแกรม Slack แจ้งเตือนผ่าน Container บน Platform : Coursera อีกหนึ่งหัวข้อ

ในหัวข้อนี้ จะมีวิดีโอให้ดูข้างๆ และมีหน้าจอ Workspace เสมือนว่าเราใช้งาน PC อีกเครื่องที่ลงโปรแกรมไว้เหมือนกับวิดีโอของผู้สอนให้เราทำตาม


โดยในหัวข้อนี้จะสอนตั้งแต่
-การรู้จักกับ Dockerfile เพื่อนำมาสร้าง Docker Image โดยในภาพจะเป็น Dockerfile ตั้งต้น ของ Jenkins
-การใช้คำสั่ง Docker Command ต่างๆ
-การ Setup Jenkins + Git + Notification ของ Slack

ก่อนจบไปจะมีเทสทบทวน ว่าที่เราเรียนมา มีสอนเรื่อง Command ใดๆของ Docker ไปบ้าง และถามเรื่องเกี่ยวกับ Path Jenkins นิดหน่อย ใดๆคือใช้เวลาไม่นาน

ปิดจ็อบได้ Cert Project มาอีกใบ

https://coursera.org/share/ea1552da015764c8b98b23e34738b8dd

Good Job!

The future depends on what you do today.

— Mahatma Gandhi.