CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

Coursera : Project Initiation: Starting a Successful ProjectCoursera :

ต่อกันที่ตอนที่ 2/6 ของ Google Project Management ที่ตอนนี้มาว่ากันด้วยเรื่องการจัดการ Project ในส่วนของการเริ่มต้น

หลักๆเลย หัวข้อนี้จะสอนเกี่ยวกับ
-หลักการ SMART (Specific , Measurable , Attainable , Relevant , Time-bound)
-OKR
-Scope creep
-ข้อจำกัด 3 ประการกับการจัดการ Project (Time , Cost , Scope)
-การวัดผลสำเร็จของ Project
-รู้จักกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ Project (Stakeholders , team roles and responsibilities)
-การใช้ Tools เพื่อการจัดการการทำงานร่วมกัน
-มอบหมายงานแต่ละตำแหน่งด้วย RACI Chart

แม้จะเป็นหัวข้อหนึ่งที่ยาว แต่ระหว่างเรียนก็ตั้งใจเรียน เรียนแบบไม่เร่งรีบ ค่อยๆซึมซับ ค่อยๆจดลงไป เพราะที่ผ่านมาตัวเองมี Pain เกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการ Project เนื่องจากหัวหน้าในตอนนั้นคาดหวังว่าเราจะจัดการทีมได้ดี แต่ผลที่ออกมามันไม่ดีเลย และก็จาก Pain ตัวนี้เอง ที่ทำให้ตัวเราอยากปิด Gap เรื่องนี้มากๆ เลยยิ่งใส่ใจในทุกๆเรื่องที่ทีมอาจารย์ฯสอน

เบื้องต้นก็อยากจะเขียนแหล่ะว่าหลักการแต่ละอย่างมันทำอะไร แต่คิดว่าหากเขียนไปมันคงยาว เอาเป็นว่าหากอยากรู้ ก็เอา Keywords ไปค้นหาแล้วอ่านตามต่อจะดีกว่า น่าจะได้ความรู้ที่ครบถ้วนกว่านี้ เอาเป็นว่าใครอยากเรียนรู้เรื่องการบริหาร Project จาก Google ก็มาลงเรียนกันได้เลย

https://www.coursera.org/account/accomplishments/verify/L5R95EGSAE46

The true delight is in the finding out rather than in the knowing.

Isaac Asimov
CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

Coursera : Foundations of Project Management

เริ่มเรียนเรื่อง “Google Project Management Certificate”

เพื่อหวังจะปิด Gap เรื่อง Skill บริหารทีมของตัวเองที่มีอยู่น้อยนิด แต่กลับไปส่งผลกระทบหลักๆกับการทำงานที่ทำในปัจจุบัน

หลังเรียนจบไป 1 Course จากทั้งหมด 6 Course แล้วรู้สึกอึ้ง ในวิธีการทำงานของ Google มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจ้างพนักงานบาร์เทนเดอร์ เพื่อมาเป็นผู้จัดการโครงการ ที่ขอแค่คุณมีมุมมองความเข้าใจลูกค้า คุณก็น่าจะสามารถเป็นผู้จัดการโครงการได้ (แล้วบาร์เทนเดอร์ผู้นั้น ก็มาเป็น 1 ใน Speaker ผู้เล่าเรื่องให้ผู้เรียนฟังแถมยังทำงานกับ Google มาเป็น 10 ปี)

หรืออีกเรื่องก็คือเรื่องของ Process การบริหารงาน จากเดิมที่เคยคิดว่า Agile มันน่าจะเจ๋งสุด ดีที่สุดกับทุกงาน

แต่หลังเรียนไปแค่ 1 Course กลับพบว่า Google นั้นยืดหยุ่นมาก ไม่ใช้กระบวนการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่ใช้ทั้ง Agile , Water Fall , Six sigma มาทำงานร่วมกัน ให้เหมาะไปกับงานในแต่ละประเภทที่จะต้องทำงานด้วยนั่นเอง

หลังจบ Course แรก คิดว่าส่วนที่ยากที่สุด ของงานนี้ น่าจะเป็น Interpersonal skill (ทักษะการสื่อสารกับทีม หรือทักษะการสื่อสารกับบุคคล) เพราะความไม่เหมือนในวัฒนธรรมต่างชาติ ที่มีอะไรแล้วพูดตรงๆ กับวัฒนธรรมไทยที่มีอะไรแล้วไม่พูดแต่เก็บเงียบ หรือบางทีเลือกเอาไปนินทา แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่สื่อสาร ทำให้ทีมขาด Motivate (แรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน) ซึ่งเจ้าส่วนนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่เป็นตัวชี้วัด ว่างานมันจะไปได้ดีหรือมีปัญหา ก็สามารถดูกันได้ที่ตรงนี้แหล่ะ

https://coursera.org/share/8a5ec141f1a3c075299f017323bf7021

All men by nature desire to know.

Aristotle
CategoriesInspiration...My self-Improvement

INFJ : ผู้สนับสนุน

เคยมีความคิดว่าตัวเองแปลก ที่มีนิสัยอย่างที่เป็น เช่น ทำไมชอบเรียนรู้ ทำไมชอบทำนั่นนี่ ทำไมชอบคิดประยุกต์เอาเทคโนโลยีมารวมกัน ทำไมชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำไมชอบไปแชร์ความรู้ และอีกหลายๆอย่างความสงสัย ว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้

จนได้มาเจอกับเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับทำแบบสอบถาม ว่าคนแบบเรา หากเจอสถานการณ์ตามที่แบบสอบถามวางไว้ เราจะตอบกลับสถานการณ์ต่างๆนั้นอย่างไร แล้วก็ได้มาเป็น…
(ใครอยากลองทำแบบสอบถาม สามารถเข้าไปได้ที่ Link นี้ : https://www.16personalities.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E?fbclid=IwAR2t8h8mJJ4xe1nk-7RY1YMCIVS4jetyFH_a4Xx5aAA_s4swPp3_Xn-O8eE)

ความสนุกมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเราอ่านผลว่าคนประเภทนี้มีนิสัยอย่างไร ซึ่งก็ไปเจอ Youtube อยู่ช่องหนึ่ง ที่อธิบายคนประเภท INFJ ออกมาได้ดีเลย (ถูกใจมาก เนื่องจากตอนแรกคิดว่าตัวเราแปลก สรุปแล้ว เราเป็น INFJ นั่นเอง 555)

หลังดูจบทำให้ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ไม่มองว่าตัวเราเองแปลกเหมือนเดิม

ใครอยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน และอยากรู้ว่าสิ่งไหนเหมาะกับตัวเอง สามารถทำแบบทดสอบแล้วลองหาช่อง Youtube อธิบายลักษณะของคนแต่ละประเภทตามที่ได้ผลลัพธ์กันได้เลย

CategoriesInspiration...My self-Improvement

2023: A Year of Thanks and Reflection

เมื่อตอนต้นปีใช้ชีวิตด้วยความเครียด เนื่องจากโปรเจคในตอนนั้น เป็นเหตุให้นอนดึก ตื่นไว ดื่มมากไป กินแต่มาม่า จนทำให้เจอเหตุการณ์ เกือบขิต หลังจากรู้ซึ้ง ถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว ทำให้ตัวเราตั้งสมมุติฐานกับตัวเองขึ้นมาว่า “หากมันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้ง เราจะทำยังไง” เลยเป็นที่มาให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติกับตัวเองในหลายๆเรื่อง เริ่มตั้งแต่

~เลิกดื่มของมึนเมา : ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากเกือบขิตคราวนั้น เป็นเหตุให้ตัวเองหันมากินแต่อาหารสุขภาพ ไม่ดื่มของมึนเมา จนสุขภาพจิต สุขภาพกาย เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

~ทำประกัน : อันนี้ไม่ต้องคิดมากเลย หากชีวิตขิตจริงๆ คนข้างหลังจะเป็นยังไงนะ คิดได้แค่นี้ ก็ทำเลย ที่สำคัญ มันลดหย่อนภาษีได้ด้วย

~ออกกำลังกาย : จากแต่ก่อน เวลาออกกำลังกาย จะต้องไปฟิตเนส ต้องจ่ายรายปี ต้องมีชุดพร้อม ต้องนั่นนู่นนี่ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จกับมันเลย ตัดมาที่ตอนนี้ ลุกมาเดินออกกำลังกายใกล้ที่พัก วันละ 5 km
จากที่เคยน้ำหนักปริ่มอยู่ที่ 90 kg ตอนนี้ลดมาเหลือ 72 kg ได้ รู้สึกตัวเบาไปเลย (ช่วงนี้พักก่อน ฝุ่นเยอะเลย)

~สื่อสารภาษากับชาวต่างชาติ : จากเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าเราจะสามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาอังกฤษได้ แต่ก็เรียนภาษาอังกฤษผ่านแอพฯ Doulingo ทิ้งไว้ ฝึกแล้วก็ฝึกอีก วันละ 10 นาที ทำมาได้ 3 ปี มาปีนี้กระโดดลงมาคุยกับเจ้าของภาษาทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ตอนนี้สื่อสารกับเจ้าของภาษาได้แล้ว ยังอึ้งกับตัวเองอยู่เลย ว่าสมองมันสลับ Mode สลับภาษาได้ยังไง

~สร้างวินัยให้ตัวเอง : ก่อนหน้า เรียนอะไรก็เอาแค่พอรู้ ความรู้ไหนที่รู้แล้วก็ทู่ซี้รู้ไปอยู่เรื่องเดียวไม่ยอมพัฒนาอะไรต่อเพิ่มเลย ครั้นพอจะเรียนอะไรเพิ่มสักหน่อย ก็เรียนครึ่งๆกลางๆ หรือไม่ก็เรียนไม่จบ

ปีนี้เจอวิธีปรับตารางเวลา สร้างวินัยให้ตัวเองสำเร็จ จนมันมีประสิทธิภาพ จากที่เคยใช้ชีวิตไปวันๆ ตอนนี้หันมา “focus” กับสิ่งที่อยากพัฒนาทีละเรื่อง บวกสร้างการจัดการชีวิตให้เป็น “sprint” กับ “แบ่งเวลาเป็น” หากวัดผลจาก Outcome คือเรื่องที่ฝึกสำเร็จ ตอนนี้ถือว่า Success ในระดับดีเยี่ยมเลยทีเดียว

เวลานี้มันสำคัญมากนะ หากงานประจำที่ทำ คือ 8×5 = 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ไอ้เวลาที่เราหามาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง มันจะอยู่ที่
3×5 = 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บวกเพิ่มจากวันเสาร์ อาทิตย์อีก วันละ 8 ชั่วโมง 2 วันก็ 16 ชั่วโมง

พอเอา 15 + 16 จะเท่ากับ 31 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นี่มันเท่ากับเราเกือบจะทำงาน Full time ในบริษัทแล้วนะ !!

-พัฒนาตัวเอง : ปีนี้เสียเงินให้กับเรื่องการพัฒนาตัวเองไป เทียบเท่ากับการเสียเงินเรียนระดับ ป.ตรี ไปแล้วครึ่งนึง เชื่อว่าหากยังพัฒนาไม่หยุด จากคนระดับ อบต. น่าจะพอเข้าไปแข่งระดับโอลิมปิกกับเขาได้บ้าง

ปีนี้ดีขนาดนี้แล้ว ขอพลังคุณจักรวาล เทวดาประจำตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ปีหน้าดียิ่งๆขึ้นไป 10 เท่า 100 เท่าไปเลยนะ

555+

Don’t let the outer noise keep you from hearing your inner music.

–Tutor Joane : My english teacher.
CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

Kodawari : ความสุข..จากการใส่ใจในสิ่งที่ทำ

นั่งฟังเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า “Kodawari” จากอาจารย์เกตุ (ผศ. ดร.กฤษตินี พงษ์ธนเลิศ) แล้วมีความรู้สึกว่ามันช่วย Heal ใจได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนจะอธิบายว่ามัน Heal ใจได้อย่างไร ขอเล่าก่อนว่าคำว่า Kodawari มันความหมายว่าอย่างไร

คำว่า “โคดาวาริ” (Kodawari) ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ความแน่วแน่ในการทำบางสิ่งบางอย่างให้ออกมาดีที่สุด ซึ่งรวมถึงความพิถีพิถันและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้งานที่ทำนั้นออกมาดีเลิศที่สุด หากให้เปรียบเทียบตามความเข้าใจ ผมคิดว่าคงจะเหมือนกับหลักของ “มรรค ๘” ในศาสนาพุทธที่สอน โดยเฉพาะในหัวข้อ สัมมาอาชีวะ (มีอาชีพสุจริต) และ สัมมาวายามะ (มีความขยันหมั่นเพียร) เพื่อช่วยให้งานที่เราทำนั้น ออกมาดีเลิศ

ความประทับใจจาก ตัวอย่างที่อาจารย์ผู้บรรยายยกมา คือมีคนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นโรคสมาธิสั้น ไปทำงานที่ไหนก็ทำไม่ทน จนทำให้ตัวเองโดนไล่ออก จึงพยายามค้นหา ว่า “คนที่เป็นโรคนี้แบบเราเนี่ยะ ทำอะไรถึงจะดีนะ” จนได้มาเจอกับศิลปะ

จากการที่เขาคลุกอยู่กับศิลปะ และคิดว่าใช้เวลากับมันได้ดี มีสมาธิกับมันได้นานๆ ประกอบกับชอบในสิ่งนี้ จึงทำให้เขาเลือกที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ

เขาเริ่มทำการสร้างศิลปะจากใบไม้ โดยการเอามีดคัตเตอร์มาแกะสลัก มากรีดให้เป็นลวดลายต่างๆ จนเริ่มมีคนชอบและขอซื้อ !!!! (ใบไม้ ที่ไม่ได้ขายได้เฉพาะใบกระท่อมและใบหูกวาง) “สามารถค้นหา ศิลปะของคนๆนี้ได้ โดยค้นจากคำว่า lito leaf art หรือเข้าไปที่ Instragram และค้นหาได้ที่ Account : @lito_leafart”

กับอีกหนึ่งความประทับใจคือคำว่า “Slow Success” ที่ฟังแล้วรู้สึกดี เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในสื่อที่มุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จระยะสั้น หรือมองหาแต่การทำให้ได้มาซึ่งเงินที่มากขึ้น รวมถึงต้องสำเร็จให้ไว แต่ไม่มีใครเลยที่มุ่งอยากจะเล่นเกมส์ยาว หรือเป็นคนที่อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้สึกดีๆ ที่เราพบเจอกับแต่ละช่วงของชีวิตและมองหาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัวเรา ที่มาพบเจอและร่วมงานกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอได้ฟังเรื่องนี้จึงประทับใจมาก

หลังนั่งฟังจบ ก็กลับมาทบทวนกับตัวเองว่าตอนนี้เราใส่ใจในงานที่เราทำได้ดีหรือยัง หรือยังมีสิ่งไหนในงาน ที่เราสามารถพัฒนามันได้มากขึ้นอีกเพื่อที่งานมันจะได้ดีขึ้น โดยมองที่ประโยชน์และความสุขของทีมเป็นหลัก หลังคิดได้ก็ได้คำตอบกลับมาว่า “นี่เรายังทำสิ่งดีๆได้อีกเยอะเลยเนอะ….”

CategoriesInspiration...My self-ImprovementTechnology...My interestedToday..what i learn

Linkedin Learning กับคำบรรยายภาษาไทย

เห็นเทคโนโลยีการสอนของ Linkedin Learning ที่เอาคำบรรยายภาษาไทยมาใส่ในหลักสูตร แล้วก็รู้สึกดีใจ ว่านี่เขามองเห็นผู้ใช้งานคนไทยเพิ่มมากขึ้น จนเอาภาษาไทยเข้ามาใส่ให้ผู้ใช้งานคนไทยได้ใช้เลยหรอ ?!

เท่าที่ลองดูวิดีโอบนหน้าเว็บไซต์ของ Linkedin Learning ในวันนี้หลายๆตอนพบว่า ตัวเว็บไซต์ฯเอง มีภาษาไทยในทุกวิดีโอที่ผมเข้าไปดูเลยนะ (o____O”)  (เขาเพิ่มมานานหรือยัง เหมือนเดือนที่แล้วยังไม่มีนี่นา การเรียนที่เว็บไซต์นี้มันสะดวกสบายขนาดนี้เลยหรอ)

ขอขยายความน่าสนใจเพิ่มเติมอีกนิดว่า ตัวแปลภาษาที่ Linkedin Learning เลือกใช้ ไม่ใช้การแปลภาษาแบบที่พวกเราเคยใช้กับ Google Translate เพราะคำบรรยายภาษาอังกฤษ กับภาษาไทยที่แปลมานั้น มีความสวยของภาษาและแปลได้ตรง ทำให้เข้าใจได้ง่าย เสมือนว่าเรานั่งดูหนังซับไทยสักเรื่องที่ทำให้เราอ่านแล้วเข้าใจ ช่วยให้การเรียนรู้เทคโนโลยีที่ยากๆบางอย่าง กลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายกว่าเดิมเลยทีเดียว

หากใครที่มีทักษะการฟังภาษาอังกฤษที่ยังไม่เทพมากเหมือนผม และอยากฝึกฝนเพิ่มทักษะทางด้านเทคโนโลยี ขอแนะนำให้เข้ามาเรียนที่เว็บไซต์นี้กัน แม้หลายคอร์สที่เห็นอาจไม่ได้เจาะลึกหรือละเอียดมากแบบที่วิทยากรบางท่านใน Udemy ทำ แต่ผมคิดว่าหลายๆหัวข้อที่เป็นพื้นฐาน สามารถเอาไปต่อยอด ถาม AI ต่างๆที่มีอยู่ในตลาดเพื่อขยายขอบเขตความรู้ให้มากขึ้นไปได้ (จริงๆที่ Linkedin Learning ก็มีหัวข้อที่ Advance + Learning Path  เยอะอยู่นะ ใช่ว่าจะมีเพียงหัวข้อพื้นฐาน แต่ในความคิดเห็นส่วนตัว ยังมองว่า Udemy มีความหลากหลายจากหลาย topics มากกว่า และมีคอร์สเฉพาะทางที่ลงลึกระดับ 50-60 ชั่วโมงเยอะกว่านั่นเอง)

ต่อไปหากองค์กรไหนอยากให้ลูกน้องหรือคนในทีมเก่งขึ้นแบบไวๆ ขอแนะนำให้ซื้อคอร์สเหมารายปีจากเว็บนี้ แล้วเอาไปแจกพนักงานในองค์กรไปเลยฟรีๆ รับรององค์กรคุณจะเก่งขึ้น 10 เท่า 100 เท่าแน่นอน

ไม่รู้ว่าคนรุ่นต่อจากนี้จะเก่งขึ้นไปได้ขนาดไหน แต่เชื่อเลยว่าจากความสัมพันธ์ที่เป็นไปอย่างสวนทางกันของเทคโนโลยีกับขอบเขตของการเรียนรู้ในตอนนี้ จะช่วยส่งเสริมให้คนต่อจากนี้เก่งขึ้นแน่นอน

CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

ทำไมข้าพเจ้า จึงมาเขียนบล็อก : why i write a post (blog , story ….)

ที่จริงคือไปอ่านหนังสือเรื่อง “The power of Output” (ชื่อภาษาไทย : ศิลปะของการปล่อยของ)

เลยทำให้อยากสร้างนิสัย รักการ Generate Output ออกมาให้ได้เป็นประจำ

แต่ที่ผ่านมาก็ทำไม่ได้เลยสักอย่าง จนวันนี้ ก่อนนอนขอเขียนอะไรสักหน่อย

เลยได้มาใช้เครื่องมือที่ตัวเองมีเช่นเว็บไซต์ของตัวเองนี่แหล่ะ

พ่นสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา จะทำมาก ทำน้อย หรือไม่ยอมทำ คงต้องมาดูกันอีกที


หัวข้อบล็อกต่อจากนี้ไป คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ สิ่งที่ตนเองสนใจ ไปจนถึงเขียนสิ่งที่อยากเขียน ตามที่สมองมันอยากจะปล่อยออกมา

คาดหวังจุดที่หนึ่ง คือสร้างนิสัยการปล่อยของ ของตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป คาดหวังจุดที่สอง คือพัฒนาทักษะการปล่อยของที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน พูด บรรยาย ให้เป็นไปได้ด้วยดี

หวังว่าคนที่หลงมาอ่าน จะติดตามอ่านกันต่อไป

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า