Categoriesอ่านแล้วเล่า

คู่มือตั้งตั้นสำหรับคนทำงาน ที่ไม่อยากหลงทางไปตลอดชีวิต

SKILL BEFORE PASSION
SO GOOD THEY CAN’T IGNORE YOU
คู่มือตั้งตั้นสำหรับคนทำงาน ที่ไม่อยากหลงทางไปตลอดชีวิต

ผู้เขียน : CAL NEWPORT
ผู้แปล : พรรณี ชูจิรวงศ์
สำนักพิมพ์ : We Learn

—————————————————————————————————————-

“จงทำในสิ่งรัก” เป็นคำแนะนำที่อันตราย

เคยมั้ย ที่ได้ยินคำแนะนำให้เราทำในสิ่งที่เรารัก ตัวอย่างเช่น

“คุณต้องค้นหาสิ่งที่รัก..ทางเดียวที่คุณจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ คือรักในสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้ายังหาสิ่งนั้นไม่เจอก็จงหาต่อไป อย่าถอดใจ”

ผู้เขียนได้บอกกล่าวกับผู้อ่านว่า อย่าไปเชื่อคำแนะนำนี้เด็ดขาดนะ หากเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง คุณอาจพบกับอนาคตที่อันตรายได้เลย

หลังจากนั้น ผู้เขียนได้พาไปสำรวจ แต่ละคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น ในจุดเริ่มต้น คนเหล่านั้นอาจไม่ได้มีความรักในสิ่งที่ทำตั้งแต่แรกเริ่ม ตัวอย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์ที่ในตอนเริ่มต้น เขาไม่ใช่คนที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีมากมาย เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่หาตัวตนของตัวเองในช่วงมหาวิทยาลัย แต่เขามีเพื่อนที่คลั่งไคล้ในเทคโนโลยี อย่าง สตีฟ วอซเนียก และมองเห็นโอกาสที่ทำให้เขาสามารถทำเงินได้ในระยะสั้นจากยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

หลังจากที่เขาทำเงินกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้มากมายแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงได้ตระหนักว่าเขารักในสิ่งที่เขาทำ..

ผู้เขียนได้เล่าให้ฟังถึง “สิ่งที่คนรักในงานที่ทำมีร่วมกัน” นั่นคือ

1.อิสระในการทำงาน : ความรู้สึกที่ว่าคุณมีอำนาจที่จะควบคุมการใช้เวลาในแต่ละวันของตัวเอง รวมถึงความรู้สึกที่ว่า การกระทำของคุณมีความสำคัญ
2.ศักยภาพ : ความรู้สึกที่ว่า คุณเก่งในสิ่งที่ตัวเองทำ
3.ความสัมพันธ์ : ความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น

คนที่มีความรู้สึกว่าไม่ได้รักในงานที่ทำ อาจเป็นเพราะมีความรู้สึก 1 ใน 3 ข้อนี้ขาดหายไป เลยทำให้ไม่รู้สึกถึงความรักในสิ่งที่ทำอยู่


ผู้เขียนได้บอกเล่าถึงความล้มเหลว ของคนที่เลือกทำอะไรเพียงแค่ความหลงใหล เช่น คนที่เบื่องานในสายงานการตลาด และอยากเริ่มต้นธุรกิจโยคะเพียงเพราะเป็นความชอบ แต่จากความที่ไม่มีความรู้ลึกในเรื่องที่ทำนั้นดีพอ จึงทำให้เขาประสบปัญหากับการทำธุรกิจ หรือบางคนที่คิดว่าไม่อยากทำแล้วงานเขียนโปรแกรม อยากไปขายหมูปิ้ง ส้มตำ แต่ยังไม่เคยออกตลาดจริง สุดท้ายก็พบกับปัญหาทางธุรกิจเช่นเดียวกัน (เรื่องอันหลังนี่น่าจะมาจากความคิดเห็นของตัวผมเอง ฮ่าๆ)

ผู้เขียนจึงได้เสนอว่า ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าหรือไม่ หากเราสามารถพัฒนาทักษะที่หายากและมีคุณค่าขึ้นมา จนคุณเก่งขึ้นถึงขนาดที่ว่าไม่มีใครสามารถปฏิเสธในสายงานที่คุณทำได้ เพราะพลังของต้นทุนทางอาชีพที่คุณพัฒนามาตลอดนั้น มันสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็น “อำนาจในการควบคุมสิ่งที่คุณจะทำได้”

ก่อนที่จะเป็นการสรุปหนังสือทั้งเล่มให้อยู่ในไม่เพียงกี่หน้า เลยขอตัดจบเลยว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่เข้ามาช่วยในวันที่ตัวผมเองกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ผมมีความเหมาะสมกับงานที่ผมทำนี้มั้ย” กับอีกคำถามคือ “ผมรักในงานที่ผมได้รับเงินเดือนนี้หรือเปล่า” เพราะที่ผ่านมารู้สึกเครียดกับโปรเจคที่ทำพึ่งเสร็จ จนไม่แน่ใจว่าตัวเรายังเหมาะสมกับการทำงานนี้ต่อดีมั้ย ทั้งความรู้สึกเก่งไม่พอ จัดการงานได้ไม่ดี แก้ปัญหาไม่ได้ตามเวลา บลาๆๆ

หลังอ่านจบ ก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเองถึงวิธีการว่า “เราจะทำงานอย่างไร ให้มีความสุข……..”


หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร : แม้คนเขียนจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นทำงาน ที่ไม่อยากหลงทางไปตลอดชีวิต แต่ในความรู้สึกหลังอ่าน ผมว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่เริ่มมีความคิดอยากลาออกจากงานที่ทำ เนื่องจากเบื่องาน คนที่อยากไปเปิดธุรกิจ แต่ยังไม่มั่นใจ คนที่อยากลาออกมาเป็นนายตัวเอง หรือคนที่เริ่มตั้งคำถามกับงานที่ตัวเองทำเหมือนผม ว่าความสุขในงานคืออะไร เรารักในงานที่เรารับเงินเดือนหรือเปล่า หรือเราควรไปทำในสิ่งที่เรารักดีกว่ามั้ย (ว่าแต่ สิ่งที่เรารักคืออะไร…)

หากคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ ขอแนะนำให้หาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน คุณจะได้คำตอบที่ดีกลับมาแน่นอน แนะนำเลย!!!

CategoriesTechnology...My interestedToday..what i learn

How to Boost Your Productivity with AI Tools คอร์ส กับความรู้สึกหลังเรียนจบ

ความรู้สึกหลังเรียนจบคอร์สในหัวข้อ : How to Boost Your Productivity with AI Tools
รู้สึกว้าวกับ Prompt ของ ChatGPT ที่ผู้สอนแนะนำให้ใช้
และวิธีการนำ Prompt ไปใช้ เพื่อหาผลลัพธ์ในแต่ละหัวข้อ
มันสุดยอดจริงๆ

ต่อไปนี้ แค่เพิ่มความเฉลียวในการนำเอาเครื่องมือนี้มาใช้ให้เหมาะกับแต่ละงานต่อไป ก็จะสุดยอดมากๆ

———————————————————————–

ไม่ว่าคุณจะเป็น
-ผู้ทำงานอยู่ในสาย ขายงาน
-ผู้ที่ทำสาย Content Marketing ที่หวังเขียน content ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
-สาย Pitch Product เพื่อไปนำเสนอผู้บริหารที่มีอำนาจการตัดสินใจ
-คนที่กำลังมองหา Idea ต่างๆ เพื่อไปทดสอบให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่
-หรือคุนอาจจะเป็นคนที่อยากมาลงเรียนเพื่อให้ใช้ Prompt บน ChatGPT ได้ดีขึ้น

ขอแนะนำให้เรียนคอร์สนี้เลย คุ้ม!!!!

CategoriesInspiration...My self-ImprovementTechnology...My interestedToday..what i learn

Linkedin Learning กับคำบรรยายภาษาไทย

เห็นเทคโนโลยีการสอนของ Linkedin Learning ที่เอาคำบรรยายภาษาไทยมาใส่ในหลักสูตร แล้วก็รู้สึกดีใจ ว่านี่เขามองเห็นผู้ใช้งานคนไทยเพิ่มมากขึ้น จนเอาภาษาไทยเข้ามาใส่ให้ผู้ใช้งานคนไทยได้ใช้เลยหรอ ?!

เท่าที่ลองดูวิดีโอบนหน้าเว็บไซต์ของ Linkedin Learning ในวันนี้หลายๆตอนพบว่า ตัวเว็บไซต์ฯเอง มีภาษาไทยในทุกวิดีโอที่ผมเข้าไปดูเลยนะ (o____O”)  (เขาเพิ่มมานานหรือยัง เหมือนเดือนที่แล้วยังไม่มีนี่นา การเรียนที่เว็บไซต์นี้มันสะดวกสบายขนาดนี้เลยหรอ)

ขอขยายความน่าสนใจเพิ่มเติมอีกนิดว่า ตัวแปลภาษาที่ Linkedin Learning เลือกใช้ ไม่ใช้การแปลภาษาแบบที่พวกเราเคยใช้กับ Google Translate เพราะคำบรรยายภาษาอังกฤษ กับภาษาไทยที่แปลมานั้น มีความสวยของภาษาและแปลได้ตรง ทำให้เข้าใจได้ง่าย เสมือนว่าเรานั่งดูหนังซับไทยสักเรื่องที่ทำให้เราอ่านแล้วเข้าใจ ช่วยให้การเรียนรู้เทคโนโลยีที่ยากๆบางอย่าง กลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายกว่าเดิมเลยทีเดียว

หากใครที่มีทักษะการฟังภาษาอังกฤษที่ยังไม่เทพมากเหมือนผม และอยากฝึกฝนเพิ่มทักษะทางด้านเทคโนโลยี ขอแนะนำให้เข้ามาเรียนที่เว็บไซต์นี้กัน แม้หลายคอร์สที่เห็นอาจไม่ได้เจาะลึกหรือละเอียดมากแบบที่วิทยากรบางท่านใน Udemy ทำ แต่ผมคิดว่าหลายๆหัวข้อที่เป็นพื้นฐาน สามารถเอาไปต่อยอด ถาม AI ต่างๆที่มีอยู่ในตลาดเพื่อขยายขอบเขตความรู้ให้มากขึ้นไปได้ (จริงๆที่ Linkedin Learning ก็มีหัวข้อที่ Advance + Learning Path  เยอะอยู่นะ ใช่ว่าจะมีเพียงหัวข้อพื้นฐาน แต่ในความคิดเห็นส่วนตัว ยังมองว่า Udemy มีความหลากหลายจากหลาย topics มากกว่า และมีคอร์สเฉพาะทางที่ลงลึกระดับ 50-60 ชั่วโมงเยอะกว่านั่นเอง)

ต่อไปหากองค์กรไหนอยากให้ลูกน้องหรือคนในทีมเก่งขึ้นแบบไวๆ ขอแนะนำให้ซื้อคอร์สเหมารายปีจากเว็บนี้ แล้วเอาไปแจกพนักงานในองค์กรไปเลยฟรีๆ รับรององค์กรคุณจะเก่งขึ้น 10 เท่า 100 เท่าแน่นอน

ไม่รู้ว่าคนรุ่นต่อจากนี้จะเก่งขึ้นไปได้ขนาดไหน แต่เชื่อเลยว่าจากความสัมพันธ์ที่เป็นไปอย่างสวนทางกันของเทคโนโลยีกับขอบเขตของการเรียนรู้ในตอนนี้ จะช่วยส่งเสริมให้คนต่อจากนี้เก่งขึ้นแน่นอน

Categoriesอ่านแล้วเล่า

“ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์….”

ขอเล่าถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่พึ่งอ่านจบไปในช่วงนี้ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์”
ตอนแรกที่อ่านชื่อแล้วสะดุดมาก เพราะชื่อหนังสือ เมื่ออ่านเสร็จมันทำให้รู้สึกว่า “นี่ชีวิตนึง มันมีเวลาอยู่บนโลกเฉลี่ยแค่ประมาณ 4,000 สัปดาห์เองจริงรึ” คำพูดที่น้อยแต่ทรงพลัง มันสร้าง Impact มากระแทกกับความคิดเราได้ทันทีเลยว่า “ชีวิตมีเวลาแค่ประมาณสี่พันสัปดาห์เองนะ อย่าใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่มันไม่จำเป็นหล่ะ”

หลังโดนคำโปรยบนหน้าปกตกให้เสียทรัพย์ ก็ได้จับจองหามาเป็นเจ้าของกัน

แล้วหลังจากนั้น ก็ใช้เวลาในแต่ละคืน อ่านมันไปทีละบท ทีละบท


จากที่หวังในตอนแรกว่าหนังสือเล่มนี้ จะสอนให้เราใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละด้าน คงออกแนวมาสอนให้เราทำอะไรให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เหมือนเทคนิคการจับเวลาทำ 45 นาที พัก 15 นาทีอะไรพวกนั้น แต่พอได้อ่านหนังสือจริงมันไม่ใช่แบบที่คิดเลย

หนังสือ ได้เล่าบอกในบทตอนต้นถึงช่วงเวลาตั้งแต่สมัยก่อน ในยุคที่ไม่มีเวลาหรือนาฬิกา คนในยุคนั้น เริ่มทำงานตอนพระอาทิตย์ขึ้น ทำเรื่อยไปจนถึงพระอาทิตย์ตก เมื่อนั้นก็หมดเวลา นอนแล้วก็พอ ลืมบอกไปว่าคนยุคนั้นมีตั้งแต่ อยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา ออกป่าล่าสัตว์ มาจนถึงยุคทำไร่ไถนา เรื่อยมาจนถึงยุคปฏิวัตอุตสาหกรรม ที่คนเริ่มร่วมตัวกันมาทำงาน มีนายจ้าง มีลูกจ้าง มีการจ่ายค่าแรง ในตอนนี้นี่แหล่ะที่ฝั่งนายจ้าง เริ่มมีความกลัวในเรื่องการโกงเวลาของลูกจ้างเกิดขึ้น นั่นจึงเป็นที่มาของนาฬิกา

หนังสือได้บอกกับเราต่อไปอีก ว่าพวกคำพูดที่พูดว่า “หากเราใช้เทคนิคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ เช่น การจัดการ Email อย่างมีประสิทธิภาพ , วิธีการใช้สูตร Excel กับงานต่างๆ , เทคนิคการบริหารเวลาด้วย Time Boxing , เทคนิคการแบ่งเวลาการทำงานแบบ Pomodoro ฯลฯ ว่าไอ้เทคนิคเหล่านี้ มันจะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น งานเสร็จเร็วขึ้น จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น” ว่าที่จริงแล้วหน่ะ ไอ้คำพูดนี้มันไม่จริงนะเฟ้ย ยิ่งพวกเอ็งทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ งานเอ็งเสร็จแล้ว พวกนายจ้างจะยิ่งเอางานมาเพิ่มให้เอ็งอีก ดังนั้นเอ็งลองอ่านแนวคิดของข้าดูก่อน

หนังสือ ได้สาธยายต่อ ว่าเราสังเกตุกันมั้ย ว่าเรามีเครื่องมืออะไรต่างๆ มาช่วยให้ใช้ชีวิตกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากมาย ช่วยให้เรา “ควบคุมทุกอย่าง” ได้ แต่ทำไมเรายังบ่นกันว่า “มีเวลาไม่พอ”

เราหวังทำทุกอย่าง ตามคนที่เราชื่นชอบใน Social แล้วหวังเอาว่า หากเราได้ทำตามพวกเขาเหล่านั้น ชีวิตเราคงจะมีความสุข (มีเงิน , มีงานที่ดี , เที่ยวต่างประเทศถี่ , มีรถหรู , ใช้ชีวิตอู้ฟู่ , กินอยู่อย่างสบาย)

คือหนังสือได้บอกให้เรารู้ตัว ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้อง “ทำ” หรือ “เป็น” ในทุกๆอย่างในสิ่งที่เราอยากทำหรืออยากเป็น แต่หนังสือกลับให้เรายอมรับ ว่าเรื่องไหนที่เรา “ควรหยุด” หรือเรื่องไหนที่เราควร “ให้ความสำคัญ” กับมัน เพื่อที่เราจะได้รู้สึกถึงสิ่งที่มี “คุณค่า” ที่มันอยู่ในนั้นจริงๆ


หากเขียนมากกว่านี้ไป อาจถือว่าเป็นการสปอยล์ เลยขอตัดจบเลยละกันดีกว่าว่า

หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ช่วยให้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วก็คิดว่า “เราจะเอามันมาปรับใช้กับชีวิตอย่างไรดีนะ” เพราะทุกวันนี้ เวลาที่เราหยุดตามวันหยุด แต่สมองของเรายังคิดแต่เรื่องงาน ไม่เคยคิดจะหยุดตามวันหยุดไปกับเราเลย

แถมยิ่งที่ผ่านมา นอนพักผ่อนน้อย กินน้ำน้อย แถมยังกินอาหารไม่ดี บวกกับเครียดเรื่องงาน จนเมื่อเดือนที่แล้วเครื่องเกือบพัง หากว่าเครื่องไม่พังแบบทำงานไม่ได้ มันก็คงจะทำงานให้เราแบบ Auto ให้เอง โดยที่เราไม่ต้องควบคุม 55555

หวังว่าจะได้เอาความรู้จากหนังสือเล่มนี้ไปปรับปรุงในการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นต่อไป


CategoriesProgram..My secret toolsToday..what i learn

ตัวช่วยสร้างนิสัย : Habit-building tools

ในขณะที่กำลังจะหาเรื่องมาเขียน ก็ยังหา Solution ที่จะทำให้หน้าเว็บมันแสดงผลออกมาได้สวยตรงตามที่เราต้องการไม่ได้

เอาเข้าจริง ความสวยกับข้าพเจ้า เป็นของไม่ถูกกัน เพราะหลายครั้งที่ตั้งใจทำให้สวยออกมาแทบตาย สุดท้ายมันมักไม่สวย …

ก็ไม่เป็นไร ถือว่าฝึกฝนกันต่อไป


เข้าเรื่องในหัวข้อนี้กันก่อนเลย คือในตอนนี้อยากจะมาเล่า ว่าที่ผ่านมา ตัวข้าพเจ้าเองได้มีการใช้งาน Tools ตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับสร้างการนิสัยที่ดีมาก เลยอยากมาบอกต่อ ซึ่ง Tools ตัวนี้ เป็น Application บนระบบปฏิบัติการบน Android (ต่อไปจะเรียก Application ว่า “แอพ” + แอพตัวนี้ไม่ฟรีนะ)

โดยแอพนี้มีชื่อว่า Habitnow หน้าตาก็ตามภาพด้านล่าง ใครอยาก Download สามารถ Download จาก Playstore ได้เลย

วิธีการใช้งาน ก็แค่สร้าง Category หรือประเภทที่เราต้องการลงไป ที่ Tap Category จากนั้นก็ทำการสร้าง Habit หรือนิสัยต่างๆ ที่เราอยากทำให้สำเร็จในแต่ละวันลงไปที่ Tap habit

โดยตรงจุดนี้ เราจะต้องระบุลงไปด้วยว่า นิสัยที่เราต้องการสร้างนั้น เราจะให้มันทำงานทุกวัน หรือบางวันในระหว่างสัปดาห์  มีหน่วยวัดความสำเร็จที่ต้องการเป็นอะไร เช่น yes or no , จำนวนครั้ง หรือเวลาที่ใช้ไป ไปจนถึง เราอยากให้นิสัยที่เราสร้างไว้ ไปสิ้นสุดที่วันไหน ซึ่งตรงนี้ หากเราไม่กำหนด ตัวแอพจะกำหนดให้เราไว้ประมาณ 60 วัน (ถ้าจำผิดก็ขออภัย)

เมื่อถึงเวลาใช้งาน เราก็เปิดไปที่ Tap today  จากในภาพทางด้านขวาสุดของด้านล่าง จากภาพจะเห็นว่าข้าพเจ้าได้เตรียมหัวข้อที่ต้องทำภายในวันนี้ไว้ ประมาณ 9 เรื่อง ถ้าทำเสร็จ ก็แค่มา กดเช็คว่าทำแล้ว ในกล่องเช็คบ็อกกลมๆ ทางด้านขวา (ถ้าทำไม่เสร็จ หรือไม่ทำ ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่โกรธตัวเองก็พอ)

เพียงเท่านี้ เราก็มีแอพไว้คอยบันทึก สิ่งที่เราอยากจะสร้างให้เป็นนิสัยกันไว้ใช้งานแล้ว

ในมือถือ android บางรุ่น อนุญาตให้ผู้ใช้งาน สามารถทำทางลัดหรือ shortcut ให้กับแอพ วางไว้ที่หน้าจอได้ จากในรูปจะเห็นว่า เวลาเราเปิดมือถือขึ้นมา มันช่างอยากจะสร้างนิสัย ด้วยการไปทำสิ่งนั้นให้เสร็จ และเช็คมันไปว่าสำเร็จแล้วซะเหลือเกิน

ก่อนจบไป ……ใครที่เป็นมือใหม่ ไม่เคยใช้แอพอะไรพวกนี้ อยากให้ลองตั้งสิ่งที่อยากสร้างเป็นนิสัยแค่ 1-2 เรื่องในแต่ละวันก่อนก็พอ เพราะหากตั้งเยอะเกินไป มันมีโอกาสที่เราจะทำสิ่งนั้นๆไม่สำเร็จ พลอยทำให้ไม่อยากสร้างนิสัยอื่นๆต่อไปด้วยอีกเลย ดังนั้นอย่าเร่งสร้างนิสัยให้มากเกินไปในช่วงต้นกันหล่ะ

ส่วนคืนนี้ ดีใจ บล็อกเขียนได้ 2 ตอนแล้ว ไปนอนดีกว่า

Good bye..n..good night ฝันดีและราตรีสวัสดิ์ครับ

CategoriesInspiration...My self-ImprovementToday..what i learn

ทำไมข้าพเจ้า จึงมาเขียนบล็อก : why i write a post (blog , story ….)

ที่จริงคือไปอ่านหนังสือเรื่อง “The power of Output” (ชื่อภาษาไทย : ศิลปะของการปล่อยของ)

เลยทำให้อยากสร้างนิสัย รักการ Generate Output ออกมาให้ได้เป็นประจำ

แต่ที่ผ่านมาก็ทำไม่ได้เลยสักอย่าง จนวันนี้ ก่อนนอนขอเขียนอะไรสักหน่อย

เลยได้มาใช้เครื่องมือที่ตัวเองมีเช่นเว็บไซต์ของตัวเองนี่แหล่ะ

พ่นสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา จะทำมาก ทำน้อย หรือไม่ยอมทำ คงต้องมาดูกันอีกที


หัวข้อบล็อกต่อจากนี้ไป คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ สิ่งที่ตนเองสนใจ ไปจนถึงเขียนสิ่งที่อยากเขียน ตามที่สมองมันอยากจะปล่อยออกมา

คาดหวังจุดที่หนึ่ง คือสร้างนิสัยการปล่อยของ ของตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป คาดหวังจุดที่สอง คือพัฒนาทักษะการปล่อยของที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน พูด บรรยาย ให้เป็นไปได้ด้วยดี

หวังว่าคนที่หลงมาอ่าน จะติดตามอ่านกันต่อไป

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า

CategoriesMusic...that i like

King Gnu – BOY

เป็นเพลงที่ฟังแล้วติดหูดีจริงๆ หนำซ้ำ MV เพลงนี้ทำให้นึกถึงการ์ตูน 20th Century Boys อีก

-ชอบตัวละครที่ตัวเอกไม่รู้จัก แทนด้วยภาพลักษณ์คนใส่หน้ากาก
กลับกัน คนที่เป็นเพื่อนของตัวเอก ไม่มีใครใส่หน้ากากเลยสักคน

-ส่วนความหมายของเพลงอ่ะหรอ ฟังไม่ออก (^___^”)

Categoriesหลักสูตรออนไลน์

การพัฒนาโปรแกรมการใช้งานอัตโนมัติด้วยภาษา Python

หลักสูตร “การพัฒนาโปรแกรมกระบวนการทำงานอัตโนมัติด้วยภาษา Python” ที่จัดทำขึ้นมานี้นั้น แรกเริ่มเดิมทีเลย คือ ต้องการจะสร้างสื่อการเรียนรู้ เพื่อมาแบ่งปันให้กับเพื่อนในองค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่ โดยเอาความรู้ที่ตัวเองใช้ภาษา Python ในการแก้ปัญหาในแต่ละวัน ที่ตนเองได้เจอ มาสรุปและสร้างเป็นหัวข้อ แม้สุดท้ายจะยังไม่ได้ถ่ายทอดให้กับคนในองค์กร แต่ก็ได้ลองเอาความรู้เหล่านี้ไปทดสอบ ถ่ายทอดให้ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ไปบ้างแล้ว

เมื่อเห็นว่าผลการตอบรับจากผู้เรียนที่ได้ไปถ่ายทอดความรู้มา ค่อนข้างดี จึงได้ลองมาสร้างคอร์สนี้ขึ้น เผื่อมีคนที่สนใจ หรือเจองานในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหาเทคนิคต่างๆ เหมือนที่ตอนตัวผมได้เคยเจอ
หลักสูตรนี้ ได้ออกแบบมาให้ผู้เรียน ได้ลองเขียนโปรแกรมภาษา Python ไปเป็น Step by Step โดยมีจุดมุ่งหมายคือ การพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษา Python ให้สามารถทำงานได้อัตโนมัติ เพื่อลดงานประจำที่ทำ

สำหรับผู้เริ่มต้น ขอแค่คุณมีความตั้งใจ เพียงแค่ดูและพิมพ์ตาม ก็สามารถเข้าใจพื้นฐานของการทำระบบอัตโนมัติได้แล้ว

โดยจะดียิ่งขึ้นไปอีก หากผู้เรียนได้คิดว่า “จะเอาความรู้ตรงนี้ ไปแก้ปัญหาอื่นที่ตนเองเจออยู่ได้อย่างไร” ซึ่งในตัวอย่าง ตัวผมเอง พยายามสอดแทรก Workshop เข้าไปอยู่เสมอๆ

สุดท้าย หวังว่าความรู้ที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้เรียน
สามารถนำไปสร้าง Solutions เพื่อแก้ปัญหาของตนเอง ในสถานการณ์ต่างๆได้ต่อไป

หากมีคำถาม สามารถ Post คำถามไว้ใน Q&A ได้เลยนะครับ

ขอบคุณครับ

สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้

  • ปูพื้นฐานภาษา Python
  • ทำความรู้จักกับ Library อื่นๆ ที่ช่วยให้การทำงานอัตโนมัติต่างๆด้วย Python ง่ายขึ้น
  • สามารถพัฒนาโปรแกรมกระบวนการทำงานอัตโนมัติต่างๆ และนำมาประยุกต์ใช้งานได้
  • สามารถนำโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น เผยแพร่ให้คนอื่นเพื่อนำไปใช้งานต่อได้

มีความต้องการของหลักสูตรหรือข้อกำหนดเบื้องต้นหรือไม่

  • มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมเช่นภาษา C หรือ Java (คนที่ไม่มีพื้นฐาน ก็สามารถเรียนรู้ได้)
  • มีพื้นฐานการใช้ระบบปฏิบัติการ Windows หรือ Mac OS
  • สามารถใช้งาน Web Browser เช่น Google Chrome , FireFox Safari หรือ Internet Explorer ได้

หลักสูตรนี้เหมาะกับ

  • พนักงานหน้าที่ Admin ที่ต้องจัดการกับไฟล์บน Server เป็นประจำ
  • พนักงานตำแหน่ง Tester ที่อยากศึกษาเริ่มต้นเกี่ยวกับการทำ Automated Test
  • พนักงานหน้าที่ Operator ที่อยากตั้งเวลา สั่งให้โปรแกรมทำงานต่างๆได้ตามเวลาที่ต้องการ
  • พนักงานที่ต้องกรอกข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์เป็นประจำ
  • ผู้ซื้อของออนไลน์ที่อยากสร้างบอทไว้เพื่อให้ซื้อของได้ไวกว่าคนอื่น
  • นักศึกษาที่ต้องการศึกษาหัวข้อเกี่ยวกับการทำ Automated Test
  • ผู้ที่อยากสร้างระบบการแจ้งเตือนผ่านทางไลน์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่น สินค้าลดราคา ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง สลากกินแบ่งฯ ผลการแข่งขันฟุตบอลฯ
  • ผู้ที่อยากออกแบบโปรแกรมให้มีการทำงานตามเวลาที่ตั้งไว้

สำหรับหลักสูตรนี้ ท่านที่สนใจ สามารถสั่งซื้อได้ที่ Website UDEMY (คลิ๊กที่คำว่า Udemy ได้เลยครับ)